บริหารหุ้น VS บริหารสุขภาพ
ตั้งแต่ “เกษียณ” จากงานประจำ ซึ่งก็คือเมื่ออายุประมาณ 51-52 ปีจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 20 ปีมาแล้ว สิ่งที่ผมทำเป็นหลักและเป็น “ชีวิตประจำวัน” มีอยู่ 2 เรื่องคือ
- บริหารหุ้นและการลงทุน
- บริหารสุขภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดโดยเฉพาะเมื่อคนมีอายุมากขึ้น
เพราะทั้ง 2 เรื่องนี้มีผลต่อ “ความสุข” มากที่สุดและมากกว่าเรื่องอื่น ๆ
นับถึงวันนี้ ผมคงทำได้ค่อนข้างดีทั้งสองเรื่องดูจากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง คือเงินในพอร์ตเพิ่มขึ้นประมาณ 30 เท่า และขาดทุนเพียง 3 ปี และปีที่ขาดทุนสูงสุดอยู่ที่เพียงประมาณ 15% ในปีวิกฤติซับไพร์ม
ด้านสุขภาพ ผมก็ไม่เคยป่วยหนักจนต้องนอนโรงพยาบาลยังไม่เป็นโรคไม่ติดเชื้อยอดนิยม เช่น เบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ และมะเร็ง แม้ว่าต้องอาศัยยาควบคุมตัวเลขทางสุขภาพหลายๆอย่าง แต่นั่นก็คือส่วนหนึ่งของ “การบริหารสุขภาพ” ที่ทำมาตลอดและเพิ่มมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นและเกษียณจากงานประจำ
แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะคุยหรือฉลองความสำเร็จ เพราะประสบการณ์จากคนอื่นที่ผมพอจะรู้จักหรือได้ยินได้เห็นก็คือ “อย่าโม้” เกี่ยวกับการลงทุนและสุขภาพเพราะ “สงครามยังไม่จบ อย่านับศพทหาร” หรือความหมายก็คือทั้งการลงทุนและสุขภาพนั้น เขาวัดกันตอนจบ คือ หยุดลงทุน หรือ ตาย
เรื่องของสุขภาพนั้นผมยังจำได้ถึงยุคหนึ่งที่คนไทยเริ่มสนใจการรักษาสุขภาพกันมาก ซึ่งเกิดจากหนังสือแนวการดูแลสุขภาพสมัยใหม่ เช่น“อยู่ 100 ปีมีสุข” จนมีผู้นำทางสังคมและเศรษฐกิจบางคนประกาศตั้ง “ชมรมคนอยู่ 100 ปี” ที่เผยแพร่เคล็ดลับการมีชีวิตและสุขภาพที่ดีเลิศและประกาศว่าตนเองที่มีอายุระดับ 60 ปีแล้วจะอยู่จนถึง 100 ปีแน่นอน ซึ่งคนจำนวนมากรวมถึงผมเองก็เชื่อเพราะเขา “แข็งแรงและดูหนุ่มมาก”
ถ้าจำไม่ผิด ท่านประธานชมรมเสียชีวิตหลังจากจัดตั้งชมรมไม่เกิน 10 ปี ซึ่งผมก็จำไม่ได้แล้วว่าเสียชีวิตเพราะอะไรแต่ไม่ใช่ด้วยอุบัติเหตุอย่างแน่นอน
ตั้งแต่นั้นมา ผมก็มักจะคอยจดจำว่ามีใครที่บอกว่าตนจะอยู่จนอายุ 100 ปี หรือคุยว่าตนเองแข็งแรงขนาดไหน และก็พบบ่อยๆว่าเขาก็ตายในอายุขัยปกติหรือบางคนก็ต่ำกว่านั้นไม่ได้ต่างจาก “คนธรรมดา” ที่ไม่ได้บริหารจัดการอะไรกับสุขภาพเลย
คนที่อายุยืนและสุขภาพดีจริงๆที่ยังคุยได้ทั้งๆที่อายุเกิน 90 ปีแล้ว ที่ผมเช็คดูนั้นนอกจากจะบริหารจัดการสุขภาพบางคนก็ทำอย่างดีตามที่คุยแล้วพวกเขามักจะมีพ่อแม่หรือบรรพบุรุษที่อายุยืนมากทั้งๆที่ไม่เคยต้องออกกำลังกายและควบคุมอาหารหรือทำสิ่งต่างๆแบบที่เชื่อกันในปัจจุบัน
ดังนั้น ผมจึงคิดว่า เรื่องของสุขภาพที่ดีและอายุขัยที่ยืนยาวนั้น คงต้องมี “โชค” ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ได้ขึ้นกับ “ฝีมือ” ในการบริหารหรือดูแลสุขภาพทั้งหมด บางที ปัจจัยสำคัญที่สุดอาจจะเป็นเรื่องของ “ยีน” ของแต่ละคนที่อาจจะมีอิทธิพลมากกว่า ส่วนเรื่องของการดูแลจัดการสุขภาพอาจจะเป็นแค่ปัจจัยสนับสนุนให้ร่างกายทำหน้าที่ได้ตามปกติตามธรรมชาติของมัน
และนั่นก็คือความเชื่อของผมในตอนนี้ที่ว่า เรื่องของสุขภาพนั้นอาจจะ 80-90% ขึ้นอยู่กับการจัดการไม่กี่เรื่อง และส่วนใหญ่แล้วผมก็จะทำถ้ามันไม่ได้ “ลดความสุข” หรือทำให้ผมรู้สึกว่ามัน “ทรมาน” มากเกินไป
ข้อแรก คือ เรื่องของการกิน ซึ่งผมพยายามกินแบบไม่ให้อิ่มเกินไป คือพอเริ่มรู้สึกอิ่มก็จะหยุดทันที เน้นการกินอาหารที่ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรทที่ให้พลังงานสูงเช่นแป้งและน้ำตาล ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นไขมันถ้าร่างกายใช้ไม่หมด ผมทำแบบนี้ก็เพื่อคุมน้ำหนักไม่ให้สูงเกินเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป
แต่ผมจะไม่“อดอาหาร” ที่เรียกว่า“Fasting” ทุกรูปแบบ เช่นเดียวกับการไม่เลี่ยงอาหารมันหรือมีคลอเรสเตอรอลสูง ผมจะกิน “ตามใจปาก” ถ้าอร่อยผมกิน ซึ่งรวมถึงเบียร์วันละกระป๋อง ผมคิดว่าถ้าไม่กินมากเกินไปไม่น่าจะเป็นอันตราย แม้ว่าจะมีการศึกษา “ใหม่” บอกว่าเบียร์แค่วันละกระป๋องก็อันตรายต่อสุขภาพ ไม่ควรกิน ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นบอกว่าไวน์วันและแก้วเป็นผลดีต่อสุขภาพ
นอกจากอาหารแล้ว ผมกินวิตามินหลักๆหลายชนิด เช่น วิตามิน C B และ D แร่ธาตุบางอย่างที่สำคัญต่อการทำงานของร่างกาย เช่น สังกะสี สิ่งเหล่านี้เขาบอกว่าเป็นเหมือนน้ำมันหล่อลื่นที่ช่วยให้ “เครื่องยนต์” ซึ่งก็คือร่างกาย ทำงานได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัด
ผมตรวจสุขภาพโดยการตรวจเลือดทุก 6 เดือนเพื่อดูและควบคุมสารเคมีต่างๆ เช่น ระดับคลอเรสเตอรอล น้ำตาล และอื่นๆ ซึ่งในช่วงเวลานี้ที่อายุมากขึ้นก็จำเป็นต้องคอยควบคุมไม่ให้ตัวเลขเกินเลยหรือต่ำกว่าค่าปกติ เพราะตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวบ่งบอกที่ชัดเจนว่าร่างกายจะเกิดปัญหาถ้าไม่จัดการ
ดังนั้นผมจึงต้องกินยาบางอย่างที่จำเป็น แต่ผมเลิกที่จะกินยาหรืออาหารเสริมประเภท กินแล้วอายุยืน กินแล้วสมองดี หรือกินแล้วหลับสบาย และอื่นๆที่มีการโฆษณาแนะนำกันมากมายในสมัยนี้ รวมถึงไม่ฉีดฮอร์โมนหรือเสต็มเซลที่อาจจะกำลังฮิตกัน
ข้อสองที่ผมทำมาตลอดในการดูแลเรื่องสุขภาพ ก็คือการออกกำลังกาย ซึ่งผมใช้วิธีวิ่งช้าๆหรือจ็อกกิ้งวันละประมาณ 3 กิโลเมตรและใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที สัปดาห์ละ 5-6 วัน ซึ่งผมทำมาอย่างสม่ำเสมอไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ผมคิดว่าถ้าผมยังทำเท่าเดิมได้ สุขภาพผมก็น่าจะยังดีหรือไม่ถดถอยลง
เวลาวิ่งผมมักจะคิดไปเรื่อยๆ ในทุกเรื่องที่ต้องการสมาธิและการตรึกตรองแบบลึกซึ้ง ผมคิดว่าไอเดียสำคัญในชีวิตผมเกิดขึ้นในขณะที่กำลังวิ่งไม่น้อยกว่า 30% บ่อยครั้งเวลาวิ่ง ผมคิดถึงชื่อของซีรี่ทีวีดังในสมัยที่เป็นหนุ่มของผมคือเรื่อง “Run For Your Life” หรือ“วิ่งเพื่อชีวิต”
ในเรื่องของการลงทุนนั้น ผมคิดว่ามีความคล้ายคลึงกับเรื่องของสุขภาพในหลายๆประเด็นเริ่มตั้งแต่การที่ผมเชื่อว่า “โชค” มีผลต่อผลตอบแทนการลงทุนของผมค่อนข้างมากส่วนการจัดการหรือการบริหารการลงทุนนั้น แน่นอนก็เป็นส่วนสำคัญแต่เป็นประเด็นว่าเราจะ “ทำผิด” ไม่ได้ ถ้าทำผิดจากที่ควรเป็นผลตอบแทนอาจจะเลวร้ายหรือถึงหายนะได้คล้ายๆกับเรื่องของสุขภาพที่ว่า ถ้าคุณสูบบุหรี่ต่อให้คุณออกกำลังและดูแลสุขภาพแค่ไหนมันก็ไปไม่รอด
ความ “โชคดี” ของการลงทุนของผมคงอยู่ที่ว่า ผมได้เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังโตสุดยอดและบริษัทจดทะเบียนรุ่นใหม่ที่ขยายตัวขึ้นและเอาชนะบริษัทรุ่นเก่าที่กำลังถูกทำลาย โดยที่บริษัทผู้ชนะสามารถสร้างป้อมปราการปกป้องตนเองในระหว่างที่ธุรกิจขยายตัวขึ้นและกลายเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” หรือหุ้นที่มีค่ามาก วัดจากค่า PE ที่สูงลิ่วและนั่นก็คือ สถานการณ์ที่เรียกว่าเป็น “ตลาดหุ้นยุค VI” ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ผมที่โชคดี แต่เป็นกลุ่ม “นักลงทุน VI” แทบทั้งหมดที่ทำผลงานการลงทุนติด “ระดับโลก” ในยุคนั้น
การบริหารการลงทุนของผมเองนั้นก็คล้ายๆกับเรื่องของสุขภาพ ผมไม่ได้ทำอะไรซับซ้อน พูดง่ายๆไม่มีสูตรลับหรือความสามารถพิเศษ ผมแทบไม่เคยไป “พลิกหินทุกก้อน” เพื่อค้นหาหุ้นมหัศจรรย์ ผมไปเยี่ยมบริษัทน้อยมากและไม่เคยไปงาน Company Visit หรือพบผู้บริหารจดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์เลย
ที่ทำตลอดก็คือการเดินช็อปปิ้งตามห้างและร้านค้าต่างๆเหมือนกับคนทั่วไป เพียงแต่ผมจะคิดไปด้วยว่าสินค้านั้นเป็นของบริษัทจดทะเบียนไหน และมันดีแค่ไหน ราคาของหุ้นเป็นอย่างไร ผมอยากจะเป็นเจ้าของบริษัทหรือไม่
ผมจะเลือกบริษัทหรือหุ้นที่ดีระดับต้นๆของประเทศที่ไม่มีใครสามารถแข่งขันได้และซื้อได้ในราคาที่ค่อนข้างถูก คือ ค่า PE ไม่สูงเกินไปเทียบกับหุ้นทั่วไปในตลาดและในอุตสาหกรรมเดียวกัน จำนวนบริษัทที่ถือก็ประมาณ 5-6 ตัวหลักๆ เก็บไว้โดยแทบไม่ต้องทำอะไร
ทุกไตรมาสต้องคอยดูผลประกอบการและธุรกิจว่ายังดีขึ้นหรือดีเหมือนเดิมไหม ถ้าใช่ก็ถือต่อไป ถ้าไม่ใช่ก็อาจจะต้องเปลี่ยนแต่กรณีหลังนั้นมักจะเกิดไม่บ่อยเพราะหุ้นหรือบริษัทที่ดีจริงนั้นจะไม่แย่ลงง่ายๆ
ผมลงทุนระยะยาวมาก แทบจะตลอดชีวิต ตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง ผมไม่ค่อยสนใจผมสนใจว่าหุ้นหรือพอร์ตของผมควรจะขึ้นมากกว่าลงนับเป็นรายปี ผมสนใจว่ามูลค่าปันผลแต่ละปีของผมควรจะขึ้นไปเรื่อยๆทุกปีแบบช้าๆ
ผมไม่สนใจที่จะเข้าไปเล่นหุ้น “เก็งกำไร” ที่มักจะขึ้นลงแรงมากบางทีเป็นเท่าๆในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ผมไม่สนใจที่จะใช้มาร์จินหรือการกู้เงินมาลงทุนซื้อหุ้น ผมไม่ต้องการผลตอบแทนที่สูงมากในบางช่วงแต่ต้องเสี่ยงมากถ้าเกิดเหตุการณ์เลวร้าย
เป้าหมายการลงทุนของผมก็คือได้ผลตอบแทนปีละ 10% แบบทบต้นในช่วงที่เข้าตลาดหุ้นใหม่ๆ แต่ในระยะหลังนี้ผมคิดว่าน่าจะลดลงเหลือ 7% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของไทยถดถอยลงมากและบริษัทจดทะเบียนก็โตช้าลงมากหรือแทบไม่โตเลย
ว่าที่จริงผมกำลังเปลี่ยนแปลงการจัดการลงทุนของผมครั้งใหญ่คือจะไปลงทุน “ทั่วโลก” เนื่องจากตลาดโลกของการลงทุนเปิดกว้างมา นักลงทุนแทบทุกคนก็สามารถไปลงทุนได้ บางทีอีกซัก 10 ปี ผมคงมาเล่าได้ว่าผมจัดการอย่างไรและผลลัพธ์คืออะไร.