กูรูส่องหุ้นไทยเดือน ก.ย. 68 เศรษฐกิจชะลอ การเมือง–เฟดชี้ชะตา แนะถือเงินสด
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า ประเมินตลาดหุ้นไทยเดือนกันยายน 2568 มีแนวโน้มลดความร้อนแรงลงเพราะในช่วงที่ผ่านมา Price In ปัจจัยหนุนเจรจาการค้าและการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ไปมากแล้ว
ขณะที่ช่วงถัดไปการส่งสัญญาณดอกเบี้ยของ FED อาจเริ่มไม่ชัดเจนเพราะทิศทางเงินเฟ้อเริ่มสูงขึ้นจากต้นทุนฝั่งผู้ผลิต มีโอกาสที่ผู้ผลิตจะส่งผ่านต้นทุนไปให้กับผู้บริโภค (CPI) ปัจจัยเดือนนี้จึงต้องติดตามการประชุม FED เดือนกันยายนจะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางดอกเบี้ยที่ชัดเจน (17 กันยายน)
ด้านปัจจัยในประเทศให้น้ำหนักการเมืองเพียงระยะสั้น เชื่อว่าท้ายที่สุดจะได้นายกรัฐมนตรีมาบริหารประเทศต่อ คล้ายกับรอบที่ 'แพทองธาร ชินวัตร' ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ แม้อาจจะได้นายกรัฐมนตรีมาบริหารประเทศ แต่ในเชิงปัจจัยพื้นฐานยังถือว่าเศรษฐกิจไทยไม่แข็งแกร่งและออกแนวอ่อนแอด้วยซ้ำ
ประกอบกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พึ่งรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยเดือนกรกฎาคม พบการชะลอตัวทั้งการบริโภค การท่องเที่ยว อสังหาริมทรัย์ มีเพียงการส่งออกที่ยังขยายตัว (แต่เริ่มน้อยลง) เมื่อมองไปยังข้างหน้าก็ยังมีแนวโน้มแย่ลงโดยเฉพาะส่งออกจะเริ่มชะลอตัวเพราะเร่งไปแรงก่อนหน้า
แต่ทั้งนี้ด้วยเศรษฐกิจขยายตัวต่ำพร้อมกับเงินเฟ้อที่ต่ำ ก็อาจจะเห็นการลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยลดแรงแข็งค่าของเงินบาท แต่อย่างไรก็ตามทิศทางเงินบาทต้องพิจารณา Dollar ประกอบ โดยเฉพาะประชุม FED หากส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยน้อยลง Dollar จะกลับมาแข็งค่ากดดันเงินบาทอ่อนค่า
เรื่องด่วนรัฐบาลควรเร่งแก้…
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยต้องเร่งแก้หนี้ครัวเรือนเพราะปัจจุบันอยู่ระดับสูง ซึ่งกดดันการบริโภคจึงควรสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและชะลอการก่อหนี้ใหม่ผ่านการกระตุ้นส่งออก ท่องเที่ยว เพราะหากกระตุ้นการบริโภคมากไปอาจก่อให้เกิดภาระหนี้ครัวเรือนกลับมา
รวมถึงต้องเร่งกระตุ้นการลงทุนจากต่างชาติ (FDI) เน้นให้จ้างงานแรงงานไทยเพื่อเพิ่มรายได้และกำลังซื้อ โดยหนี้ครัวเรือนที่สูงการลดดอกเบี้ยจะช่วยได้แต่ก็ต้องระวังการก่อหนี้ใหม่ ธปท.และรัฐบาลต้องร่วมมือกันในเรื่องนี้
สำหรับประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล 4 เดือน จะเพียงพอหรือไม่ หรือต้องการให้อยู่ยาวกว่านั้นก่อนยุบสภา ส่วนตัวมองว่ารัฐบาล 4 เดือนคงทำอะไรได้ไม่มาก ด้วยเวลาที่จำกัดแต่อย่างน้อยเข้ามาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นไปยังการเลือกตั้งครั้งถัดไป
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ด้วยระดับ Valuation หุ้นไทยที่ไม่ถูกแม้จะได้นายกรัฐมนตรีภายในเดือนกันยายนแต่ก็เป็นเพียงปัจจัยหนุนระยะสั้น เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนยังอ่อนแอ จึงเน้นเป็นกลยุทธ์มองหาหุ้นที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะ ได้แก่
- กลุ่มไม่อิงกับเศรษฐกิจมากนัก (BDMS) สื่อสาร (ADVANC) การเงิน (MTC SAWAD)
- ปัจจัยหนุนดอกเบี้ยปรับลง กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA) สงครามการค้าคลี่คลาย
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นไทยและหุ้นนอกโดยเฉพาะสหรัฐฯ อาจลดสัดส่วนลง โดยเน้นเพิ่มการถือครองเงินสดมากขึ้น ขณะที่ทองคำเน้นถือต่อแต่ไม่เพิ่มพอร์ตด้วยราคาปรับขึ้นมาเยอะ โดยแนะจับตาหุ้นจีนที่เริ่มเห็นการปรับตัวด้าน AI และหุ้นยังไม่แพง