โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : ‘อสูร’ ที่ถูกสร้างโดย ‘โลหิต’ ของ ‘อัลกอริทึม’ (และเติบโตด้วยเลือดเนื้อแห่งความเกลียดชัง)

MATICHON ONLINE

อัพเดต 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : ‘อสูร’ ที่ถูกสร้างโดย ‘โลหิต’ ของ ‘อัลกอริทึม’
(และเติบโตด้วยเลือดเนื้อแห่งความเกลียดชัง)

ไม่รู้ว่ากลัวจะไม่เป็นไปตามคำเสียดสีที่ว่า “ยามศึกเรารบ ยามสงบเรากันเอง” หรือไงก็ไม่รู้ เพราะแม้สถานการณ์การสู้รบที่ชายแดนไทย-กัมพูชา อาจจะเรียกว่าสงบลงบ้างตามข้อตกลงหยุดยิง แต่ก็เกิดประเด็น “สงครามโซเชียล” ขึ้นมาในประเด็นที่เกี่ยวข้องอยู่ดี แถมรอบนี้ผู้คนมองว่าเป็น “มวยถูกคู่” เสียด้วย

จุดเริ่มต้นจากที่“แพรรี่” ไพรวัลย์ วรรณบุตร โพสต์ภาพแสดงการมีรายได้จำนวนหลักแสนบาทจากเฟซบุ๊ก พร้อมระบุในทำนองว่ามาจากคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องในช่วงวิกฤตความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาล้วนๆ ก็ไปกระตุกต่อมให้ “อาจารย์ปวิน” ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ออกมาวิจารณ์โดยตั้งคำถามถึงจริยธรรมของคุณแพรรี่ซึ่งเคยบวชเรียนมาระดับเปรียญเก้าประโยค แต่กลับสร้างรายได้หาผลประโยชน์จากความขัดแย้งและความทุกข์ของผู้อื่น และตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบของอินฟลูเอนเซอร์ในการใช้ภาษาและการนำเสนอที่อาจปลุกปั่นความเกลียดชัง

เรื่องโต้เถียงของทั้งสองท่านก็ว่ากันไป แต่ที่เป็นอย่างนั้น เพราะรูปแบบการให้รายได้จากเฟซบุ๊กที่เริ่มจ่ายรายได้ให้กับโพสต์และรูปภาพในลักษณะของข้อความเพิ่มเติมขึ้นจากสื่อวิดีโอที่มาตั้งแต่เดิม เมื่อการโพสต์ของอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามก่อให้เกิดรายได้ และเนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่สร้างหรือสนับสนุนเออออไปกับความเกลียดชังนั้นเป็นเนื้อหาที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ก็เริ่มมีการแสดงความรู้สึกเป็นห่วงว่ามันจะทำให้สังคมที่ขับเคลื่อนด้วยสื่อสังคมออนไลน์นั้นบิดเบี้ยวลงไปอีก

เขียนแล้วก็เหมือน “ขิง” เพราะหากใครที่เป็นแฟนคอลัมน์นี้มาต่อเนื่องก็น่าจะพอจำได้ว่า ผม-ผู้เขียนเคยได้ตั้งข้อสังเกตถึงปัญหาของระบบนิเวศบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่โครงสร้างการสร้างรายได้และยอดการมีส่วนร่วมนั้น ได้กลายเป็น“แนวร่วมธรรมชาติ” ที่ส่งเสริมให้เหล่าผู้สร้างเนื้อหาแนวปลุกปั่นความเกลียดชังหรือชาตินิยมสุดโต่ง เพราะเนื้อหาลักษณะนี้สามารถ “ขายได้” และแปรเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์เงินทองได้อย่างรวดเร็ว

หรือถ้าจะมองให้ไกลออกไปจากเรื่องความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ก็จะเห็นว่าปรากฏการณ์ลักษณะนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของแพลตฟอร์มระดับโลก เช่นที่เคยเขียนถึงกรณีสตรีมเมอร์นาม “จอห์นนี โซมาลี” (Johnny Somali) ซึ่งสร้างรายได้และชื่อเสียงจากการไลฟ์สดก่อกวนสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ผู้คนในหลายประเทศแถบเอเชีย จนตอนนี้ออกจากประเทศเกาหลีใต้ได้หรือยังก็ไม่ทราบ ซึ่งพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของเขาและสตรีมเมอร์แนวนี้ที่ทำกันตามๆ ออกมาอีกหลายราย แม้จะน่ารังเกียจจนถึงระดับภัยสังคม แต่กลับสร้างยอดการรับชมและรายได้มหาศาลจากทั้งแพลตฟอร์มและจากผู้ชมที่ชื่นชอบคอนเทนต์ลักษณะนี้

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นเหมือนเรื่องงูกินหาง ที่ยากจะหาคำตอบได้ว่าระหว่าง“ผู้สร้าง” กับ “ผู้เสพ” เนื้อหาเหล่านั้น ใครกันแน่ที่เป็นผู้เริ่มต้นวงจรนี้ เป็นเพราะรสนิยมและความต้องการของผู้เสพที่โหยหาเนื้อหาจัดจ้านรุนแรง ทำให้ผู้สร้างคอนเทนต์ต้องผลิตเนื้อหาลักษณะนี้ออกมาตอบสนอง หรือแท้จริงแล้วเป็นเพราะอัลกอริทึมและผู้สร้างเนื้อหาที่นำเสนอเนื้อหาแนวนี้ซ้ำๆ จนหล่อหลอมและสร้างรสนิยมของผู้ที่เสพอยู่แล้วให้ต้องการเสพเนื้อหาลักษณะนี้เพิ่มขึ้น และดึงดูดนักเสพหน้าใหม่ๆ เข้าสู่วงการ

ที่เขียนมาข้างต้นอาจฟังดูตลกเพราะเหมือนกล่าวถึงการเสพสารเสพติด แต่แท้จริงแล้วผลที่กระทำต่อผู้คนและสังคมก็อาจจะไม่ได้ต่างกัน

เรื่องนี้อาจมีคำตอบจากประโยคเก่าแก่ในแวดวงสื่อสารมวลชนที่มักจะมีผู้กล่าวไว้เวลามีการตั้งคำถามเกี่ยวกับสื่อและความรับผิดชอบต่อสังคมว่าสื่อไม่ได้ชี้นำสังคมไปในทางไหนทั้งสิ้น แต่เขาเพียงแต่นำเสนอในสิ่งที่สังคมอยากจะรู้ (หรืออยากจะเสพ) มาป้อนให้ สื่อเป็นเพียงกระจกเงาบานใหญ่ที่สะท้อนภาพความต้องการของผู้คนในสังคมเท่านั้น แต่ในยุคที่ “ทุกคนเป็นสื่อได้” และเส้นแบ่งระหว่างผู้สร้างกับผู้เสพเลือนรางลงทุกขณะ คำกล่าวนี้อาจจะไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์อีกต่อไป และอาจถึงเวลาที่ต้องตั้งคำถามอย่างจริงจังว่า “กระจกเงา” นี้ได้บิดเบี้ยวจนสร้างภาพที่น่าเกลียดน่ากลัวจนเกินกว่าที่มันเป็นอยู่จริงๆ หรือไม่

เหตุที่ปัญหาของสื่อในยุคก่อนอาจจะเทียบไม่ได้กับปัญหาที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้ มีระบบ“สำนักข่าว” และ “บรรณาธิการ” ที่ยังต้องคัดกรองตัวข่าวและทิศทางของการนำเสนอ ไม่ให้ “ร่วงต่ำ” ลงไปเกินกว่ามาตรฐานที่ยอมรับได้ ประกอบกับความ “ช้า” ของเทคโนโลยีและรูปแบบการสื่อสารกับความถี่ที่ต่ำ กล่าวคือไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามหนังสือพิมพ์ก็ออกได้แค่วันละสองฉบับ ข่าวทั้งทางวิทยุหรือโทรทัศน์สมัยก่อนก็มีแค่ช่วงเช้า เที่ยง กับช่วงเย็น ผู้คนก็ติดตามข่าวและมีอารมณ์ร่วมไปกับข่าวเหล่านั้นได้ในเวลาและปริมาณที่จำกัด แตกต่างอย่างยิ่งกับภูมิทัศน์สื่อปัจจุบันที่ใครก็สามารถเป็นผู้ผลิตและเผยแพร่เนื้อหาได้ การควบคุมเนื้อหาแบบรวมศูนย์อย่างในยุคสื่อสิ่งพิมพ์นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งในแง่หนึ่งก็ถือเป็นคุณูปการต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ที่ความเป็นไปได้ในการควบคุมสื่อโดยสิ้นเชิงไม่ว่าจากอำนาจรัฐหรือทุนนั้นทำได้ยากยิ่ง

แต่ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อวงจรสำคัญตัวหนึ่งของระบบคือ“สำนักข่าว” หายไปและถูกแทนที่ด้วย “อัลกอริทึม” ที่ไร้เจตจำนง เป็นเพียงวงจรตอบสนองระหว่างผู้สร้างเนื้อหาและผู้เสพเนื้อหา จึงเป็นปรากฏการณ์ที่เราได้เห็นว่า เมื่อผู้สร้างเนื้อหากลุ่มหนึ่งค้นพบว่าเนื้อหาแนวใดที่สามารถจับความสนใจของสังคมได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดราม่าหรือความขัดแย้ง พวกเขาก็จะผลิตเนื้อหานั้นออกมาป้อนตลาด เมื่อผู้เสพได้บริโภคเนื้อหานั้นอย่างต่อเนื่อง ความต้องการของพวกเขาก็มิได้หยุดนิ่ง แต่จะโหยหาเนื้อหาที่มีความเข้มข้น จัดจ้าน และ “แรง” ยิ่งขึ้นไปอีกเป็นลำดับ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะกระตุ้นให้ผู้สร้างรายเดิมต้องยกระดับความรุนแรงของเนื้อหาเพื่อรักษาฐานผู้ชมไว้เท่านั้น แต่ความสำเร็จของพวกเขายังกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้ผู้สร้างหน้าใหม่ๆ กระโดดเข้ามาในตลาดเพื่อผลิตซ้ำคอนเทนต์ในลักษณะเดียวกัน กลายเป็นวงจรที่ขยายตัวและทวีความรุนแรงขึ้นเองไม่สิ้นสุด

แต่เอาเข้าจริง ถ้าจะมีใครมาตั้งคำถามว่าแล้วทั้งหมดที่ว่ามานี้มันผิดตรงไหน ผม-ผู้เขียนก็อาจจะยังตอบได้ไม่เต็มปากนัก เพราะหากมองปรากฏการณ์นี้ในเชิงกลไกตลาดเสรี มันก็ดูจะเป็นเรื่องที่เป็นธรรมชาติอย่างถึงที่สุด เมื่อมีอุปสงค์ ก็ย่อมมีอุปทาน เมื่อผู้บริโภคส่วนใหญ่ในสังคมต้องการเสพเนื้อหาในลักษณะใด ก็ย่อมเป็นสิทธิอันชอบธรรมของพวกเขาที่จะเลือกเสพได้ไม่ใช่หรือ และเมื่อผู้สร้างเนื้อหาใดที่สร้างความพอใจให้คนส่วนมากในสังคม เขาก็ควรได้รับ“รางวัล” จากการทำงานนั้นมากตามความพึงพอใจของสังคม

ถ้าจะบอกว่าเนื้อหาเหล่านั้นสะท้อนความนิยมที่ไม่ดีงาม มันก็อาจจะหมายความว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมนั้นมีแนวโน้มที่จะคิดหรือรู้สึกเช่นนั้นอยู่แล้วเป็นทุนเดิม แล้วใครกันจะมาอวดอ้างตนเป็น “พ่อรู้ดี” หรือ“พี่รู้มาก” ทำหน้าที่ตำรวจศีลธรรมคอยชี้ว่าเนื้อหาอันใดที่จะไม่ดีไม่งามและสังคมไม่ควรที่จะได้รับรู้

กลไกทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นแทบไม่มีจุดไหนจะชี้ได้เลยว่าเลวร้าย แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องซ่อนอยู่แต่ยังไม่อาจอธิบายออกมาได้

ถ้าจะพูดกันให้ตรงไปตรงมาที่สุดในกรณีวิวาทะระหว่างคุณปวินกับคุณแพรรี่ ข้อเท็จจริงคือคนไทยจำนวนมากมีความรู้สึกเกลียดชังหรือไม่พอใจต่อประเทศกัมพูชาอยู่แล้วก่อนนั้น แม้ยังไม่มีเหตุความขัดแย้งที่ชายแดน การที่มีผู้ผลิตคอนเทนต์ที่ตอบสนองต่อความรู้สึกนั้นออกมา มันก็อาจเป็นเพียง “เครื่องมือ” ช่วยปลดปล่อยความโกรธเกรี้ยว ทำให้พวกเขารู้สึก“สะใจ” ที่ได้เห็นการตอบโต้ฝ่ายที่ตนไม่ชอบ ในสภาวะที่พวกเขาอาจจะทำอะไรในความเป็นจริงไม่ได้มากนักกับความวิตกกังวลจากสถานการณ์ความขัดแย้ง

รวมถึงต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ความโกรธเคืองของคนไทยส่วนหนึ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากความว่างเปล่าที่อินฟลูเอนเซอร์ช่วยกันปั่นขึ้นมาจากอากาศธาตุ แต่มีเชื้อไฟมาจากพฤติกรรมของฝ่ายกัมพูชาเองอยู่จริง ทั้งก่อนหน้านี้ที่คอลัมน์นี้เคยกล่าวถึงไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการ ‘เคลม’ วัฒนธรรมไทยสารพัดสิ่ง ตั้งแต่มวยไทยไปถึงอาหารการกินยันถึงเครื่องแต่งกายดั้งเดิมการร่ายรำ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนโลกออนไลน์นั้นเกิดขึ้นจริงจากอีกฝั่ง ก็เป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่จริง

รวมถึง“ข้อเท็จจริง” ที่เป็นความเลวร้ายของอีกฝ่ายหนึ่งในระหว่างการปะทะ เช่น การยิงถล่มพลเรือนในเขตไทย การวางกับระเบิดที่เป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ การสรรหาข่าวปลอมมาโจมตีประเทศไทยต่อนานาชาติและการยั่วยุราวกับไม่ประสงค์สันติภาพ ความเลวร้ายเหล่านี้มันเข้าใจได้ไม่ยากว่ามันสร้างความขุ่นเคืองใจและกระทบต่อความรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นชาติ

แต่ถึงอย่างนั้น คำถามสำคัญที่เราอาจต้องหันกลับมาทบทวนกันบ้าง พอความโกรธเกรี้ยวพอจะทุเลาลงแล้ว ปฏิกิริยาที่เรามีต่อเรื่องราวเหล่านั้นมันได้สัดส่วนกับเหตุที่เกิดแล้วหรือไม่ ความขุ่นเคืองที่สมเหตุสมผลได้ถูกขยายผลโดยกลไกของสื่อที่แสวงหาผลประโยชน์จนกลายเป็นความเกลียดชังที่ไร้ขอบเขตไปหรือเปล่า จากความไม่พอใจในการกระทำของคนบางกลุ่ม ได้ลุกลามไปสู่การด้อยค่าและลดทอนความเป็นมนุษย์ของคนทั้งชาติหรือไม่ และท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เราสมควรที่จะเกลียดชังเพื่อนมนุษย์ที่อยู่ร่วมโลกกันได้ถึงขนาดนั้นจริงหรือ

ในช่วงที่เกิดการปะทะกันใหม่ๆ มีข่าวอยู่ข่าวหนึ่งที่ผมต้องอ่านข้ามๆ เพราะความรู้สึกหดหู่ และหวังอย่าให้มันเป็นความจริงเลย นั่นคือข่าวที่เด็กหญิงวัย 13 ปีคนหนึ่ง ที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นครูสอนภาษาไทย ได้ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองด้วยการกระโดดลงมาจากตึกเรียน ข่าวก่อนหน้าออกมาในทำนองที่ว่า เด็กคนนั้นถูกรุมกลั่นแกล้งรังแกหรือ Bully เพียงเพราะคุณแม่ของเธอเป็นชาวกัมพูชา แม้ในที่สุดทางโรงเรียนจะออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง… แต่ก็ไม่มีใครหาเหตุผลที่มีน้ำหนักเพียงพอให้เชื่อได้เลยว่า เด็กวัยแค่นั้น มีความใฝ่ฝันที่สวยงามอย่างนั้น จึงเลือกปลิดชีวิตตัวเองกันนะ

ถึงอย่างนั้นผมก็หวังว่า ข่าวเรื่องนี้ที่ออกมาในตอนแรกมันจะไม่เป็นความจริง เพราะไม่อย่างนั้น สังคมที่เราเลี้ยงดูความเกลียดชังเสียจนเด็กๆ ของเรามีจิตใจที่เหี้ยมโหดเลือดเย็น และมองเห็นความตายของผู้อื่นเป็นเรื่องบันเทิงราวกับเป็นอสูรข้างขึ้นลำดับสองนั้น มันเป็นสังคมที่น่าสิ้นหวังจนเกินไป

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : ‘อสูร’ ที่ถูกสร้างโดย ‘โลหิต’ ของ ‘อัลกอริทึม’ (และเติบโตด้วยเลือดเนื้อแห่งความเกลียดชัง)

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก MATICHON ONLINE

ดิว อริสรา น้ำตาไหลรับเลิกสามี ยอมเสียสละให้ลูกมีอนาคตที่ดี ขอกลับมาเริ่มต้นใหม่ ตั้งใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง

15 นาทีที่แล้ว

เอ็นคุนคูลุ้นย้ายกลับไลป์ซิก เปิดทางเชลซีช้อปแนวรุกต่อ

15 นาทีที่แล้ว

รู้แล้วตัวอะไร ผู้เชี่ยวชาญคาดเป็นสัตว์สองชนิด แกะรอยจากเปลือกส้ม

22 นาทีที่แล้ว

POP MART มาแรง! รายได้ปี 2025 อาจทะลุ 3 หมื่นล้านหยวน

29 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

‘ลิซ่า’ ถูกใจ ‘ไก่ทอดหาดใหญ่’ สุดๆ แฟนคลับแซว แม่ค้าเตรียมรับมือซอฟต์พาวเวอร์ใหม่!

THE POINT

ยูเครนต้องการหยุดยิง ปูตินต้องการดีลสันติภาพ ต่างกันอย่างไร?

THE STANDARD

มลพิษต้องจ่าย กทม.งัดหลัก ใครทำเลอะ ต้องจ่ายเอง

มุมข่าว

ไทยนำเข้าแรงงานศรีลังกา 1 หมื่นคน ทดแทนชาวกัมพูชาแห่กลับประเทศ แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน

TNN ช่อง16
วิดีโอ

จบดรามา "ไข่เจียวปู" ร้านดัง ปรับ 2,000 ไม่แสดงราคาให้ชัดเจน

สวพ.FM91

กัมพูชาติดต่อขอโทษ IOT หลังทหารกัมพูชาโวยไทยที่ช่องอานม้า อ้างทหารเมา

ข่าวเวิร์คพอยท์ 23

พปชร.ไม่แปลกเขมรแถจัดฉากวางบึ้ม จี้รัฐทวงคืนผืนแผ่นดินปกป้องอธิปไตย หนุนติดลวดหนาม-เอาผิดผู้นำกัมพูชา

Manager Online

เปิดภาพอดีต บิ๊กกุ้ง แม่ทัพภาคที่ 2 สมัยยังเป็นร้อยเอก ยิ้มเขินยังจำได้

มุมข่าว

ข่าวและบทความยอดนิยม

คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : ‘อสูร’ ที่ถูกสร้างโดย ‘โลหิต’ ของ ‘อัลกอริทึม’ (และเติบโตด้วยเลือดเนื้อแห่งความเกลียดชัง)

MATICHON ONLINE

ทหารดักจับกุมรถบรรทุก 6 คัน ลักลอบขนน้ำมันข้ามชายแดนพม่า 60,000 ลิตร

MATICHON ONLINE

หมอเตือนลูกหลาน หมั่นสังเกตผู้สูงอายุ เล่นแชตบอตอาจถูกลวง หลังมีคุณปู่คนไทยเสียชีวิตในอเมริกา

MATICHON ONLINE
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...