ประวัติ “มาดามรถถัง” นพรัตน์ กุลหิรัญ นักธุรกิจยานเกราะ ผลิตขายกองทัพทั่วโลก
ประวัติ “มาดามรถถัง” นพรัตน์ กุลหิรัญ นักธุรกิจยานเกราะ ขายยุทโธปกรณ์ให้กองทัพทั่วโลก
นพรัตน์ กุลหิรัญ หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ “มาดามรถถัง” เป็นอดีตครูภูมิศาสตร์ที่ผันตัวเองมาสู่วงการธุรกิจยานเกราะของไทย ผู้สนับสนุนยานเกราะล้อยางพร้อมทีมช่างซ่อมบำรุงไปยังชายแดนไทย-กัมพูชาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อร่วมภารกิจปกป้องประเทศ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะร่วมรักษาเอกราชและความมั่นคงของชาติในยามวิกฤติ
จุดเริ่มต้นชีวิตและการศึกษา
นพรัตน์เกิดที่ย่านเยาวราช กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2496 ปัจจุบันอายุ 72 ปี เธอเติบโตมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจค้าเหล็ก โซ่ และเครื่องยนต์เก่า สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ที่อพยพจากประเทศจีน นพรัตน์เป็นลูกคนที่เจ็ดในบรรดาพี่น้องสิบสองคน และมีบุตรชายสองคนคือ กานต์ และกฤต กุลหิรัญ
ในวัยเด็ก เธอช่วยพ่อทำงานและได้เรียนรู้เรื่องธุรกิจเหล็กจากคนรอบตัวที่ทำอาชีพเกี่ยวข้องกับงานประเภทเดียวกัน เธอเรียนจบระดับประถมจากโรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ และต่อด้วยโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ เอกภาษาฝรั่งเศส ส่วนระดับอุดมศึกษาศึกษาต่อที่วิทยาลัยวิชาการศึกษา วิทยาเขตปทุมวัน ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงด้านการสอนภาษาฝรั่งเศส
ระหว่างเป็นนักศึกษา นพรัตน์ทำกิจกรรมหลายอย่าง และยังได้รับโอกาสจากข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ให้ทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาฝรั่งเศส รวมทั้งเป็นครูสอนภาษาไทยให้กับผู้อพยพที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
ช่วงชีวิตครูและครอบครัว
เมื่อจบการศึกษา นพรัตน์เริ่มต้นอาชีพครูที่โรงเรียนยานนาเวศอยู่ราวห้าเดือน ก่อนย้ายไปสอนวิชาภูมิศาสตร์ที่โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของเธอเอง หลังจากนั้นเธอแต่งงานกับ หิรัญ กุลหิรัญ เจ้าของกิจการซ่อมรถและดัดแปลงเครื่องยนต์ ผู้ที่ต่อมามีความสัมพันธ์กับกองทัพในด้านการจัดหาอุปกรณ์และซ่อมบำรุง
ก้าวสู่ธุรกิจยานเกราะ
หลังสงครามเวียดนามสิ้นสุด กองทัพสหรัฐถอนกำลังออกจากภูมิภาคและทิ้งยุทโธปกรณ์จำนวนมาก สามีของเธอได้ซื้อชิ้นส่วนเหล่านี้เพื่อนำกลับมาไทย นพรัตน์ซึ่งมีความสามารถด้านการเจรจาและภาษาอังกฤษ จึงติดต่อกับโรงงานผู้ผลิตในสหรัฐอเมริกาเพื่อหาซื้อตีนตะขาบรถถังและเครื่องจักร เธอนำความรู้ที่ได้กลับมาปรับใช้ในไทย ก่อตั้งโรงงานผลิตขึ้นใหม่ตามแบบที่สหรัฐใช้
ความจริงใจและไหวพริบของเธอทำให้เจ้าของโรงงานสหรัฐเชื่อมั่น และมอบเครื่องจักรจำนวนมากให้ จนกิจการของเธอเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โรงงานสามารถผลิตชิ้นส่วนที่ใช้กับรถถังและต่อยอดสู่การติดตั้งสายพานรถถังให้กับกองทัพไทย รวมทั้งรถถังจีนที่ประจำการในปากีสถานและบังกลาเทศ ผลงานของเธอยังได้ไปจัดแสดงในงานแสดงอาวุธระดับนานาชาติ เช่น ยูโรซาทอรี (Eurosatory) และ IDEX
ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม
จากสถานการณ์ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ นพรัตน์เริ่มมุ่งเน้นการพัฒนารถหุ้มเกราะเพื่อปกป้องชีวิตเจ้าหน้าที่และประชาชน ผลงานสำคัญคือการสร้าง “เฟิร์สวิน” รถหุ้มเกราะล้อยางที่ประจำการอยู่กับกองทัพไทย กรมสอบสวนคดีพิเศษ หน่วยปราบปรามยาเสพติด และกรมราชทัณฑ์ นอกจากนี้ยังมีการสั่งซื้อจากกองทัพมาเลเซีย และต่อมาบริษัทของเธอได้ผลิตเฟิร์สวินในเวอร์ชันรถพยาบาลที่กันกระสุนและระเบิด ซึ่งได้รับการกล่าวว่าเป็นรถเกราะพยาบาลล้อยางคันแรกของโลก
ชีวิตส่วนตัวและรางวัล
นพรัตน์เป็นนักธุรกิจหญิงที่เป็นมิตรและใช้เวลาว่างกับงานประดิษฐ์ งานฝีมือ รวมถึงการวาดภาพ โดยเฉพาะดอกชบาซึ่งเป็นดอกไม้ที่เธอชอบวาดมากที่สุด ผลงานของเธอได้รับการยอมรับและได้รับรางวัลสำคัญหลายรางวัล อาทิ รางวัลส่งออกดีเด่นปี 2549 จากทักษิณ ชินวัตร และรางวัลดีเด่น เอกเซลดีไซน์อะวอร์ด 2008 “ดิมาร์ก” จากสมัคร สุนทรเวช