อี้ แทนคุณ เปิดใจยื่นมือช่วยภรรยา เอ๋ ไพโรจน์ ปมมรดก หลังอ้างถูกลูกสาวอดีตภรรยาไล่ออกจากบ้าน
ไนน์เอ็นเตอร์เทน
อัพเดต 19 สิงหาคม 2568 เวลา 2.19 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • NineEntertain ข่าวบันเทิงอันดับ 1 ของไทยจากกรณีเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 68 ที่ผ่านมา อี้ แทนคุณ ประธานชมรมสันติประชาธรรม ได้พา เอ๋ – พลอยรัชษ์ ชินรัตน์วาณิช วัย 50 ปี ภรรยาคนล่าสุดของอดีตพระเอกและผู้กำกับชื่อดัง เอ๋ – ไพโรจน์ สังวริบุตร ที่เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 68 เดินทางไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม หลังถูก เบสท์ ลูกสาวของสามีกับภรรยาคนแรกขับไล่ออกจากบ้าน และยังติดใจสาเหตุการเสียชีวิตของสามี
ล่าสุดวันนี้ (18 ส.ค. 68) อี้ แทนคุณ ได้เปิดใจกับทีมข่าวไนน์เอ็นเตอร์เทนว่า ตอนนี้อันดับแรกคือ ต่างคนต่างจะใช้สิทธิ์ในศาลในเรื่องของการจัดตั้งเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งศาลก็มีหนังสือมาถึงคุณเอ๋ คัดค้านในกรณีที่ว่ามีทรัพย์สินส่วนไหนที่เป็นของเขา เพราะว่าหลัง ๆ ศาลและกฎหมายมันขยายขอบเขตเรื่องของการที่แม้จะไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่ถ้ามีพฤตินัยอยู่กินกันฉันสามีภรรยาเป็นที่รับรู้เปิดเผย และเป็นเงื่อนไขกว่า 20 ปีตรงนี้ที่อยู่ด้วยกันมา ดังนั้นก็จะมีส่วนที่ต้องแบ่งกันคือสินสมรส เพราะว่าภรรยาคนก่อน ๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว ก็คือหย่าร้างกันแล้ว ทีนี้ต้องมาดูว่าอะไรเป็นสินสมรสระหว่างนี้ที่อาจจะไม่ใช่ตัวบ้าน อาจจะเป็นทรัพย์สินอื่นใด เสร็จแล้วถึงจะแบ่งให้กับลูก เอ๋ ไพโรจน์ ในกรณีที่ว่าเป็นทายาทลำดับต่อไป เพราะว่าโดยสิทธิ์สามีภรรยาเขาถือว่าเป็นคนเดียวกัน แต่ว่าจะได้สิทธิ์แค่คนละครึ่ง สิทธิ์อีกครึ่งหนึ่งจะเป็นของลูก แต่ต้องดูด้วยว่าทรัพย์สินนี้เป็นทรัพย์สินที่ได้มาก่อนสมรสหรือไม่อย่างไร หลังจากนี้ก็ต้องเรียนว่าทางอัยการก็แนะนำว่าให้แจ้งตำรวจ ก็เลยได้ไปแจ้งตำรวจไว้ว่าได้มีการบุกรุกและมีการละเมิดเอากุญแจไปล็อกอะไรต่าง ๆ แต่ส่วนตัวผมไม่อยากให้เป็นคดีความต่อกัน ตอนนี้ก็รอการใช้สิทธิ์ทางศาล และก็รอว่าศาลจะพิพากษาอย่างไร จริง ๆ ถ้าขอกันได้คือเรื่องรายละเอียดของทรัพย์มรดก ผมจะไม่ไปยุ่งว่าใครจะได้เท่าไหร่อย่างไร เพราะว่าอยู่ที่กระบวนการศาลแล้ว แต่สิ่งที่อยากจะขอ อยากให้เห็นแก่มนุษยธรรม คือเขาไม่ได้มีที่อยู่ที่อื่น ตอนนี้ก็คือต้องไปตระเวนขออาศัยอยู่กับพี่น้องบ้าง ญาติบ้าง และก็ไกลจากเดิมที่อยู่แถวบางนา แล้วก็ต้องระเห็จระเหินเร่ร่อนไปอยู่ที่แถวบางแค ท่าพระ แล้วก็เสื้อผ้าข้าวของต่าง ๆ ที่เป็นของใช้ส่วนตัวก็ยังไม่ได้เอาออกมาจากบ้าน เพราะฉะนั้นเรื่องตรงนี้มันพอคุยกันได้ แล้วที่บอกว่าของพ่อหายต่าง ๆ ผมว่าต่างคนก็ต่างมีข้อมูลคนละชุด บางส่วนก็เป็นของคุณเอ๋ที่หาได้มา แต่ก็อาจจะไม่ได้บอกหรือว่าอะไรต่าง ๆ และบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ควรจะคุยในครอบครัวและควรจะให้เกียรติกัน ควรจะหาทางที่จะประนีประนอมกันให้มากที่สุด เพราะอยากให้เห็นแก่อาเอ๋ ไพโรจน์ เพราะผมก็สนิทกับท่านมาก่อน ผมไม่อยากให้เรื่องนี้มันบานปลาย แล้วผมก็ไม่เคยว่าลูกของอาเอ๋เลย เพราะผมคิดว่าเขาก็มีสิทธิ์โดยชอบธรรมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าสิทธิ์มากน้อยแค่ไหน และระหว่างทางที่จะไปถึงการพิสูจน์สิทธิ์ มันก็ควรที่จะให้โอกาสในการให้บุคคลที่เคยดูแล อาเอ๋ ได้มีโอกาส ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติด้วย คือไม่ใช่พอท่านจากไปปั๊บ แล้วจะต้องมาไล่ออก หรือว่าดำเนินการแบบเหมือนเป็นคนอื่น โดยที่ไม่มีความรู้สึกว่าผูกพันกันหรือเกี่ยวข้องกัน อย่างน้อยกว่า 20 ปีก็เป็นเวลาที่ไม่อยากให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่สามีเสียไป แต่กลับกลายเป็นคนอื่นสำหรับคนในครอบครัว เพียงเพราะไม่ได้จดทะเบียนสมรส เดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ความจริงก็คือความจริง ถึงแม้ว่าช่วงท้ายของชีวิตจะมีประเด็นเรื่องที่อาจจะแยกกันอยู่คนละห้อง แต่ว่าก็ยังอาศัยด้วยกันอยู่ ซึ่งรายละเอียดต่าง ๆ เราก็ยังไม่ทราบว่าอยู่กินกันอย่างไร เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวในครอบครัวเขา ประเด็นที่ 1 เรื่องของทรัพย์สิน ประเด็นที่ 2 เรื่องติดใจในการเสียชีวิต เป็นเรื่องที่ไปร้องกับอัยการไว้ ที่ต้องไปร้องอัยการ เพราะอัยการก็จะทำหน้าที่ในเรื่องของให้คำแนะนำทางกฎหมาย รวมทั้งคุ้มครองสิทธิ์ในบางเรื่อง ตอนนี้ผมได้ข้อมูลมาว่ามีคนอื่นอยู่ในวันเกิดเหตุหรือในที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นบุคคลคนอื่น อาจจะมีส่วนหรือเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการเสียชีวิต แล้วบุคคลนี้ตอนนี้ยังมีแชตไลน์ที่คุยกับ อาเอ๋ ในการนัดหมายไปคุยกันเจอกัน แล้วก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมถึงไม่ได้ช่วยให้รักษาได้ทันท่วงที หรือว่ามีส่วนในการกระตุ้น หรือมีส่วนในการทำให้เกิดอาการกำเริบหรือไม่ เพราะจริง ๆ ย่อมเป็นที่ทราบของคนใกล้ชิดว่า อาเอ๋ เป็นโรคหัวใจ แต่ว่าทั้งภรรยาแล้วก็ลูกคือคนที่อยู่ใกล้ชิด ผมคิดว่าคนนั้นก็อาจจะทราบ แต่ว่าตอนเกิดเหตุเขาเป็นคนเดียวที่อยู่ตรงนั้น ซึ่งสิ่งที่เราติดใจคือตรงนี้ เขาได้ทำอะไรอย่างดีที่สุดแล้วหรือไม่ ในการช่วยดูแลให้ อาเอ๋ ไม่ต้องจากไปก่อนเวลาอันควร
ตรงนี้น้องเบสเขารู้ไหมคะ ในข้อสงสัยนี้?
อี้ แทนคุณ : ผมไม่แน่ใจว่าเขารู้หรือเปล่า เพราะว่าเป็นแชตไลน์ที่ทางคุณเอ๋ไปค้นเจอในฐานข้อมูลบางอย่าง ผมไม่ทราบว่าเขารู้หรือเปล่า ผมไม่ได้ว่าเขาปิดบังข้อมูลหรือว่าอะไรนะ แต่บางทีเขาอาจจะไม่ได้ติดใจ ซึ่งทางเราติดใจ และเราก็อยากจะขยายผลไปสู่การสืบสวนเชิงลึกขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นหลังจากนี้หรือไม่เดี๋ยวดูอีกที เพราะมันจะกระทบหลายส่วนด้วยกัน ทีนี้การติดใจ ตัวของภรรยาก็สามารถทำได้ เพียงแต่ในจังหวะดังกล่าว มันเป็นช่วงที่ยังชุลมุนเรื่องการจัดงานศพ การจะพูดในประเด็นนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องที่อ่อนไหว เพราะเดี๋ยวจะหาว่าเอามาเป็นประเด็นหาเรื่องหรือเปล่า หรือว่าเป็นประเด็นที่จะเรียกร้องสิทธิ์อะไรหรือเปล่า ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ใช่ เพราะจริง ๆ สิทธิ์ทุกอย่างมันจะชัดเจนของตัวมันเองอยู่แล้ว ว่าใครได้อะไร และอย่าลืมว่าจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แค่ทรัพย์สินอย่างเดียว มันมีเรื่องหนี้สินอีกจำนวนหนึ่งด้วย ซึ่งผมก็ได้ทราบมา ผมก็บอกเขาไปรับก็ต้องรับทั้ง 2 ส่วนนะ ไม่ใช่รับแค่ทรัพย์สินไม่เอาหนี้สินมันก็ไม่ใช่ครับ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องคิด
จริง ๆ อี้ แทนคุณ ก็รู้จักกับคุณเอ๋มานานแล้วใช่ไหม ตอนเริ่มแรกเขาไปปรึกษา แบบขอคำปรึกษา?
อี้ แทนคุณ : จริง ๆ เจอกันตามรายการ ตอนนั้นเคยทำอีเวนต์อันหนึ่ง น่าจะเป็นตอนที่สมัย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายก ที่เขามาทำ event organizer กับ สปสช. แล้วผมไปเป็นพิธีกรพอดี ซึ่งเป็นประมาณสัก 5 – 6 ปีที่แล้ว จากนั้นก็ไม่ได้คุยแบบต่อเนื่อง แต่รู้จักกับ อาเอ๋ ไพโรจน์ เพราะว่าไปเรียนหลักสูตรหนึ่งด้วยกัน แล้วก็รู้จักกันมานาน เจอกันเรื่อย ๆ แล้วก็ยังเคยช่วยอะไรหลาย ๆ อย่าง เพราะว่าแกก็มีประเด็นให้ช่วย เพราะตอนนั้นแกทำบทภาพยนตร์ แล้วแกลืมรหัสผ่าน ก็เลยไปติดต่อหาใครมาช่วยกู้ แล้วก็ได้เจอกันตามงานต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ ทีนี้ประเด็น เขาก็มาคุย วันที่ อาเอ๋ เสียตนก็ไป แล้วแกก็บอกว่าทาง…อันนี้จากคำบอกเล่านะครับ ก็คือทางคุณเบสท์เนี่ย ไม่ได้ให้เขาเข้าไปในงาน เข้าไปในบริเวณที่ตั้งโลงศพ ตอนที่จะหอมแก้มลาคุณ…ก็ถูกดึงออกมา เพราะกลัวน้ำตาจะไหลไปโดนร่างของ อาเอ๋ ซึ่งผมก็ไม่ได้เห็นนะครับ แต่เขาบอกว่ามีสื่อมวลชนถ่ายภาพไว้ได้ แต่ก็ไม่ได้มีภาพปรากฏเหมือนกัน ผมก็คิดว่ามันก็ดีแล้ว ผมไม่อยากให้มันเป็นเรื่องความขัดแย้งอะไรกันรุนแรงขนาดนั้น ทีนี้ประเด็นที่เขามาคุยด้วยก็คือเรื่องนี้แหละ เรื่องของการที่ถูกบังคับให้ออกจากบ้านในลักษณะนี้ ผมเลยคิดว่าเราช่วย 2 ประเด็นนี้แหละ ก็คือช่วยประเด็นว่าให้คุ้มครองสิทธิ์ในการได้เข้าไปอยู่ในระหว่างที่ศาลยังไม่ได้พิสูจน์ ไม่มีคำตัดสินออกมา ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ อาจจะต้องใช้เวลา เพราะต่างคนก็ต่างอ้างสิทธิ์ คนนั้นคนนี้ก็ยังไม่ลงตัว แล้วก็ยังไม่รู้ว่ายังมีคนอื่น ๆ จะมาอ้างสิทธิ์ด้วยหรือไม่ รวมทั้งคนที่มีสิทธิ์อีกคนหนึ่งก็คือเจ้าหนี้นะครับ ซึ่งผมก็ได้ทราบแล้ว อันที่ 2 ก็คือเรื่องของสาเหตุการเสียชีวิต ถ้าคุณเอ๋ยังยืนยันว่าเรื่องนี้ยังเป็นประเด็นอยู่ เราก็ต้องหากระบวนการอื่น เช่น ขออ้างสิทธิ์ต่อศาลว่าขอชันสูตร ซึ่งชันสูตรคงไม่ได้แล้วเพราะร่างไม่อยู่แล้ว ขอทราบผลชันสูตรอย่างละเอียด แล้วก็ขอขยายผลไปถึงคนอยู่ในวันดังกล่าว เรารู้แล้วว่าเป็นใคร อักษรย่อ ส. แล้วก็ค่อนข้างจะใกล้ชิด แล้วมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรผมก็พอจะทราบ แต่ว่ายังไม่ได้บอกรายละเอียด ถ้าคุณเอ๋ยังติดใจอยู่ อันนี้ก็จะเป็นข้อมูลที่จะไปดำเนินการต่อไปได้ ทีนี้คุณเอ๋ก็มีสิทธิ์ที่จะติดใจในเรื่องนี้แล้วก็ขยายผลได้ เพราะคุณเอ๋เป็นภรรยาคนหนึ่ง ถ้าแต่ว่าคุณเบสท์จะคัดค้านก็มีสิทธิ์เหมือนกัน ทุกคนมีสิทธิ์ครับ แล้วผมก็บอกตรงไปตรงมาว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำเพราะว่ามีอคติต่อใครคนใดคนหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้เป็นหนังคนละม้วนแบบชนิดที่ว่าคนละเรื่องกันเลย แต่ว่าเป็นเรื่องเดียวกัน แต่คนละมุมที่ต่างคนต่างมองสิทธิ์ของตัวเอง เช่น ทายาทก็มองว่าเขามีสิทธิ์เต็มที่ แต่ภรรยาที่อยู่กินกันมาโดยไม่จดทะเบียนก็ไม่ใช่ว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ว่ากฎหมายในวันนี้อย่างเช่นศาลฎีกา ซึ่งเป็นบรรทัดฐานทางกฎหมาย เคยมีคำวินิจฉัยไว้ว่าภรรยาที่อยู่กินกันโดยเปิดเผยเป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะ แล้วก็มีการทำมาหาได้ร่วมกัน ก็ถือว่าเป็นภรรยาคนหนึ่งเหมือนกัน เพื่อไม่ใช่ว่ามันจะเป็นการลดทอนสิทธิของผู้หญิงเกินไป ว่าอยู่กินกันมาแต่ไม่จดทะเบียน ก็จะไม่ได้อะไรเลย มันอาจจะเกินไปสำหรับผู้หญิง และทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันไม่ได้เลยสักบาท มันก็เกินไป อย่างที่ 2 คือเรื่องทำไมไม่จดทะเบียน คุณเอ๋เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นเนี่ย แกมีปัญหาฟ้องร้องกันภรรยาคนก่อน ๆ ก็เลยทำให้เขาไม่กล้าจดทะเบียนสมรส กลัวจะมีปัญหาอีก เพราะเป็นเรื่องทรัพย์สินอีกเหมือนกัน
แสดงว่าในความสัมพันธ์ คุณเบสท์เอง คุณเอ๋เอง ก็ไม่ได้ราบรื่นเท่าไหร่นัก
อี้ แทนคุณ : เท่าที่ผมถาม ๆ ดูก็คือเขาคุยกันในฐานะที่เหมือนเเฟนพ่อ ไม่ถึงขั้นผูกพัน เจอกันตามโอกาสต่าง ๆ 20 ปีก็ใช้เวลาเหมือนกันนะ แล้วอีกอย่างที่อยากจะบอกไปถึงคุณเบสท์ว่าไม่อยากให้มองว่าสรุปใครจะได้หรือไม่ได้ ผมก็ไม่อยากให้มองว่าเข้าข้างคุณเอ๋ เพราะคำพูดคุณเบสท์บางอย่างที่จะแบ่งเงินให้ส่วนหนึ่งเเล้วกัน ตอนเเรกจะแบ่งให้ พอเป็นข่าวไม่เเบ่งให้แล้วอย่างงี้ดีกว่า มันจะเป็นคำที่ไปตัดสินเเทนศาล ที่ไม่รู้ว่าจะได้เท่าไหร่ ศาลอาจจะมองว่าต้องเเบ่งครึ่งก่อน แล้วค่อยเอาครึ่งที่เหลือไปแบ่งคุณเบสท์ก็ได้ อันนี้แล้วเเต่ดุลพินิจของศาล เราไม่อยากให้ใครรีบสรุปแทนศาลในลักษณะที่ว่าฉันเป็นคนเดียวที่จะได้ทั้งหมด เพราะว่าในหลาย ๆ กรณีที่มันเป็นเรื่องปัญหาหาความขัดเเย้ง จริง ๆ มันก็มีตัวอย่างหลายอย่างที่เป็นผู้จัดการร่วมกันก็มีเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเป็นคนเดียวแล้วขาด ศาลจะมองว่าอันนี้เป็นมรดก อันนี้ไม่ได้เป็นมรดก อันนี้เป็นสินสมรสอย่างงี้ก็ได้ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เข้าใจทั้งสองฝ่ายไม่อยากให้เป็นลักษณะโจมตีกันไปกันมา มันจะกระทบความรู้สึกของคนที่รักหรือรู้จักของทั้งคู่ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่รู้จักทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับว่าเราสนิทแค่ไหนที่เราช่วยกัน เเล้วก็ขอใช้โอกาสตรงนี้ พูดว่าไม่อยากให้มีเรื่องความสัมพันธ์แบบที่มันจะคนที่เสียไปไม่มีโอกาสได้พูด ผมก็อยากให้นึกถึงคุณงามความดีตอนที่ยังอยู่ คุณเอ๋ที่มีโอกาสได้ดูแลคุณพ่อของคุณเบสอย่างดีที่สุด ที่ผู้หญิงคนหนึ่งรักผู้ชายคนหนึ่งเเล้วอยากจะฝากชีวิตด้วย ทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ผมได้ประเมินดูแล้วมันไม่ได้เยอะ ไม่ใช่หลักร้อยล้าน หมื่นล้าน มันก็เป็นจำนวนหนึ่งที่เป็นบ้านเป็นรถมันก็ชัดเจนว่าจะเป็นของใคร เพียงแค่อยากจะบอกว่าในมุมนี้ใหม่ สิ่งที่ผมอยากให้สังคมมองใหม่ก็คือผู้หญิงไม่ควรถูกผลักออกไปจากครอบครัว ที่ตัวเองได้ดูแลและใช้ชีวิตร่วมกันมา ควรจะเป็นหุ้นส่วนในชีวิตไม่ใช่ว่าจะมาตามเก็บเศษเงิน เศษสมบัติที่เหลือเวลาที่สามีตายจากไป แล้วก็ให้มองใหม่ว่าไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนสมรส อีกอย่างหนึ่งที่จะแก้ข่าวให้คุณเอ๋ก็คือคุณเอ๋ไม่ได้เป็นเมียน้อย ผมไปดูข่าวไปดูคอมเมนต์ เป็นคอมเมนต์หลังจากข่าวออกไป เมียน้อยทำอะไรก็ผิด ดันมาเป็นเมียน้อยเอง เกิดมาเป็นเมียน้อยเองทำอะไรก็ผิด ซึ่งคุณเอ๋ไม่ใช่เป็นเมียน้อย แต่เป็นภรรยาที่มาทีหลังจากหย่ากับภรรยาคนหนึ่งและสอง และผมได้เห็นใบสำคัญการหย่าแล้ว ผมก็เลยพูดได้ว่าไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจ อย่าไปประณามคุณเอ๋แบบนั้น มันจะทำให้เกิดผลกระทบต่อคนที่พูดและคนที่ฟังด้วย ตอนนี้คุณเอ๋ถือว่าเป็นคนที่อดทนมามากพอสมควร เจอสถานการณ์หลาย ๆ อย่าง บ้านก็ไม่ได้อยู่ ซึ่งข้าวของเครื่องใช้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ซึ่งมันไม่ควรจะเกิดขึ้น
แล้วคุณอักษรย่อ ส. เป็นคนข้างในหรือนอกวงการ?
อี้ แทนคุณ : เป็นคนนอกวงการละกัน เป็นนักธุรกิจ เป็นสุภาพสตรีท่านหนึ่ง จริง ๆ ไม่อยากให้ประเด็นนี้หลุดหายไปจากกรอบว่าไม่ใช่เรื่องการแย่งมรดก แต่เป็นเรื่องการติดใจเสียชีวิต แล้วก็ติดใจการปฎิบัติต่อกัน รอคำพิพากษาจากศาล ไม่ควรพูดด้อยค่า “เดี๋ยวจะแบ่งเงินให้ก้อนหนึ่ง แล้วจะไม่แบ่งละ” อย่างนี้ก็ไม่ถูก เพราะว่าคนที่อาจจะได้ อาจจะเป็นคุณเอ๋ก็ได้
เเล้วคุณเอ๋ไปยื่นคัดค้านยัง?
อี้ แทนคุณ : ศาลให้ไปวันที่ 1 กันยายน 2568 ตอนนี้ผมเตรียมทนายให้แล้ว รายละเอียดทำมาหาได้ด้วยกัน เขาเปิดบริษัทด้วยกัน มีบริษัทจำชื่อไม่ได้แล้ว แล้วก็มีสำนักพิมพ์อันหนึ่งทำหนังสือเกี่ยวกับอาหาร แล้วก็มีบริษัทต่าง ๆ แล้วก็มีอันหนึ่งที่มีข้อมูลว่าคุณเอ๋ไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่น ผมก็ถามเขาเลย เขาบอกว่าช่วงท้ายไม่ได้ไปคบกับใคร เขาไปกับฝรั่งเขาไปทำงาน แล้วมีภาพลงมาว่าเขาไปคบกับคนอื่น ไม่ซื่อสัตย์ เขาไม่ได้รักอาเอ๋ พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาไม่ใช่อย่างที่พูด ไม่ได้มีใคร หนึ่งอายุเขาก็เยอะแล้ว สองเขายังอยู่บ้านเดียวกับอาเอ๋ แค่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน เเต่ด้วยหลายปัจจัยไม่สามารถเปิดเผยในศาลได้คือเรื่องส่วนตัว
ตอนนี้คุณเอ๋ทำธุรกิจมีอะไรอยู่เหรอคะ
อี้ แทนคุณ : ตอนนี้เขาบอกคอมพิวเตอร์เขาหาย มันมีฮาร์ดดิสก์ 2 ตัวที่เขาอยากได้ เเล้วมันหายไป แล้วโน๊ตบุ๊คเขาก็ยังไม่มี ผมรู้เพราะว่าผมบอกให้คุณเอ๋ปริ้นเอกสาร แล้วส่งเอกสารมาให้ผม แล้วเขาบอกว่าคอมเขาไม่มีเลย ทำอะไรก็ไม่ได้ เลยอยู่ในบ้านหมด ถูกล็อกหมด อันนี้ในมุมที่ผมได้รับรู้มาตลอด ผมเป็นแค่คนกลางที่พอจะสื่อสารได้ ผมเลยบอกว่าถ้ามีเอกสารอะไรก็ส่งมาทางไลน์จะได้ปริ้นให้ แล้วก็ไปยื่นอัยการสูงสุด .-ไนน์เอ็นเตอร์เทน