รมว.คลังสหรัฐฯ มองแนวโน้มภาษีตอบโต้อาจลดลง หากสมดุลการค้าโลกมีทิศทางที่ดีขึ้น
รมว.คลังสหรัฐฯ มองแนวโน้มภาษีตอบโต้อาจลดลง หากสมดุลการค้าโลกมีทิศทางที่ดีขึ้น
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -11 ส.ค. 68 9:15: น.
สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Nikkei เผยภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ที่สหรัฐฯ เก็บจากประเทศอื่น ๆ อาจลดลงในอนาคต หากปัญหาเรื่องความไม่สมดุลทางการค้าได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น
เปรียบภาษีนำเข้า เหมือน "ก้อนน้ำแข็งที่กำลังละลาย"
นายเบสเซนต์กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (7 ส.ค.) ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่รัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศใช้อัตราภาษีใหม่สำหรับภาษีตอบโต้ โดยการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นการสัมภาษณ์พิเศษกับสื่อต่างประเทศครั้งแรกตามข้อมูลของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ
เขาอธิบายว่าวัตถุประสงค์หลักของการใช้ภาษีนำเข้าของรัฐบาลทรัมป์คือ เพื่อสร้างสมดุลให้กับบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐฯ ที่ขาดดุลถึง 1.18 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2024 ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม เบสเซนต์เปรียบภาษีตอบโต้ว่าเป็น "ก้อนน้ำแข็งที่กำลังละลาย" ซึ่งมีนัยว่า ในอนาคตอาจเป็นไปได้ที่จะมีการลดหรือยกเลิกภาษีเหล่านี้ในที่สุด "หากการผลิตกลับมาที่สหรัฐฯ เราก็จะนำเข้าน้อยลง ซึ่งจะนำไปสู่ความสมดุล"
แย้มประเทศที่ยังไร้ดีล คาดได้ข้อสรุปเดือนต.ค. นี้
เบสเซนต์ ซึ่งเป็นผู้นำการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นและจีน ระบุว่าการเจรจาการค้าที่กำลังดำเนินอยู่กับประเทศที่ยังไม่มีการสรุปข้อตกลงทางการค้าส่วนใหญ่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนต.ค. นี้
สำหรับการเจรจากับญีปุ่่น รัฐบาลยอมรับภาษีที่ 15% และให้คำมั่นว่าจะจัดสรรเงินลงทุนและสินเชื่อมูลค่า 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นในด้านสินค้า คิดเป็นมูลค่า 69,000 ล้านดอลลาร์ โดยเบสเซนต์เรียกข้อตกลงกับญี่ปุ่นว่าเป็น "หุ้นส่วนทางอุตสาหกรรมระดับทองคำ" (Golden industrial partnership)
ส่วนการเจรจากับจีนนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสหรัฐฯ แต่การดีลกับจีนนั้นก็เป็นเรื่องยาก เพราะมีเศรษฐกิจแบบ Non-market economy ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ผูกขาด ซึ่งประเทศที่มีเศรษฐกิจลักษณะนี้มีเป้าหมายที่ต่างกัน
เขายังเตือนว่า จีนมีการผลิตล้นตลาดและส่งออกสินค้าจำนวนมหาศาลในราคาที่ต่ำมาก ซึ่งการผลิตสินค้าจำนวนมากนั้นต่ำกว่าต้นทุน เป็นโครงการเพื่อการจ้างงาน พวกเขามีเป้าหมายเรื่องการจ้างงานและเป้าหมายด้านการผลิต มากกว่าเป้าหมายเรื่องผลกำไร
นโยบายภาษีเพื่อเป้าหมายอื่น ๆ
นอกจากการสร้างสมดุลทางการค้าแล้ว นายเบสเซนต์ยังอธิบายว่านโยบายภาษีเป็นอีกวิธีหนึ่งในการเพิ่มรายได้และปกป้องอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังใช้ภาษีเพื่อเป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองในนโยบายต่างประเทศ เช่น การข่มขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่ม 25% กับอินเดียหากยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย
เบสเซนต์เสริมว่า รัฐบาลญี่ปุ่นได้ยื่นข้อเสนอที่ดีมาก ซึ่งผมคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไป เราจะสามารถบรรลุสมดุลทางการค้าได้ ผมไม่แน่ใจว่าเราจะสร้างสมดุลได้เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์สิ้นสุดวาระหรือไม่ แต่บอกได้ว่า เราจะมีความคืบหน้าอย่างมาก"
"บางทีการบริโภคในญี่ปุ่นอาจจะเพิ่มมากขึ้น และเราก็จะเริ่มผลิตมากขึ้นด้วย" เบสเซต์กล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้ญี่ปุ่นปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อเพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศ แทนที่จะพึ่งพาการส่งออก
ทั้งนี้ เบสเซนต์เคยให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ว่า สหรัฐฯ จะประเมินและตรวจสอบความคืบหน้าของข้อตกลงการค้าเป็นรายไตรมาส แต่ไม่ได้ยืนยันเรื่องนี้กับ Nikkei โดยกล่าวว่า "ผมยังไม่รู้ว่า เราจะมีการทบทวนเป็นรายไตรมาส รายครึ่งปี หรือรายปี เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ตกลงกันไว้"
มุมมองการสรรหาประธานเฟด
ประเด็นที่กำลังเป็นที่จับตามองในฝั่งตลาดการเงินขณะนี้ คือการสรรหาผู้ที่จะมารับตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ต่อจากนายเจอโรม พาวเวลล์ ซึ่งจะหมดวาระในเดือนพ.ค. 2026 ซึ่งหลายคนคาดว่า เบสเซนต์จะเป็นผู้นำในกระบวนการสรรหาประธานคนใหม่
เมื่อถูกถามถึงคุณสมบัติที่ประธานเฟดคนต่อไปควรมี เขากล่าวว่าต้องเป็นคนที่ได้รับความเชื่อมั่นจากตลาด สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจที่ซับซ้อนได้ รวมถึงสามารถบริหารจัดการ 12 เสียง (ในคณะกรรมการเฟด) และสร้างฉันทามติได้ มองไกลไปข้างหน้า แทนการพึ่งพาข้อมูลในอดีต
เขายังแสดงความกังวลว่าความเป็นอิสระในด้านนโยบายการเงินของเฟด กำลังถูกคุกคามจากการที่ภารกิจของเฟดแทรกซึมเข้าไปในเรื่องอื่น ๆ มากเกินไป และสร้างความเสี่ยงต่ออิสระดังกล่าว
นิยามความแข็งแกร่งของดอลลาร์สหรัฐ
เบสเซนต์ได้ให้คำจำกัดความของดอลลาร์ที่แข็งแกร่ง ว่าไม่ใช่ราคาที่อยู่บนหน้าจอการซื้อขาย แต่คือ การกำหนดนโยบายที่ยังคงรักษาสถานะของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในฐานะสกุลเงินสำรองต่อไป และหากเรามีนโยบายเศรษฐกิจที่ดี เงินดอลลาร์ก็จะแข็งแกร่งโดยธรรมชาติ
สำหรับมาตรการที่จะช่วยรักษาสถานะดังกล่าวของเงินดอลลาร์สหรัฐไว้ได้นั้น เบสเซนต์มองว่า จำเป็นต้องปรับปรุงสภาพแวดล้อมด้านการลงทุน
เขากล่าวว่าในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เงินที่ไหลกลับเข้ามาในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบของการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น พันธบัตรรัฐบาล ไพรเวทอิควิตี้ หรือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ แต่ตอนนี้รัฐบาลกำลังพยายามดึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ให้มากขึ้น เพื่อทำให้สหรัฐฯ เป็นประเทศที่น่าดึงดูดที่สุดสำหรับการลงทุนและการย้ายฐานการผลิต
ที่มา Nikkei Asia
รายงาน โดย Supak Hopuengju เรียบเรียง โดย Supak Hopuengju
อีเมล์. supak@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ