รีไซเคิลอย่างมีกลยุทธ์ : ทางรอดธุรกิจในโลกที่ทรัพยากรมีจำกัด
จากข้อมูลของ World Bank พบว่าปริมาณการก่อขยะทั่วโลกในแต่ละปีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเพิ่มจาก 2.0 พันล้านตันในปี 2016 มาอยู่ที่ 3.4 พันล้านตันในปี 2050 เติบโตเร็วกว่าการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกถึงราวสองเท่า แม้หลายประเทศจะพยายามบริหารจัดการขยะอย่างเป็นระบบ แต่จากสถิติล่าสุดกลับพบว่า มีเพียงราว 15–20% ของปริมาณขยะทั้งหมดในโลกที่ถูกนำกลับมารีไซเคิล ส่วนที่เหลือยังคงถูกฝังกลบ เผาทำลาย หรือปล่อยให้รั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อม
แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy) จึงยังคงเป็นหนึ่งในแนวทางที่หลายประเทศและภาคธุรกิจทั่วโลกให้ความสำคัญในฐานะกลไกเชิงกลยุทธ์ ที่ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การรีไซเคิล แต่คือการออกแบบระบบเศรษฐกิจใหม่ ที่ไม่สร้าง/ลดของเสียตั้งแต่ต้นทาง ขณะเดียวกัน ยังพยายามเปลี่ยนของเสียให้กลายเป็นทรัพยากรที่มีมูลค่า ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติใหม่และสร้างห่วงโซ่การผลิตที่ยั่งยืน ทั้งนี้ในปัจจุบันจะพบว่าหลายประเทศยังเผชิญความท้าทายของการนำขยะมาสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากมีข้อจำกัดเชิงโครงสร้างหลายด้าน ได้แก่ การแยกขยะไม่ถูกต้อง โครงสร้างพื้นฐานในการจัดเก็บและรีไซเคิลที่จำกัด ต้นทุนดำเนินการสูง รวมไปถึงมาตรการบังคับใช้ที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ แม้ยังมีข้อจำกัดหลายด้านที่เป็นอุปสรรคในการผลักดันให้เกิดการรีไซเคิลมากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งอาจเป็นโอกาสทางธุรกิจหากสามารถพัฒนาโมเดลธุรกิจที่ช่วยปิดจุดอ่อนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาระบบรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ การลงทุนในเทคโนโลยีรีไซเคิลอัจฉริยะ การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เอื้อต่อการนำกลับมาใช้ใหม่ หรือการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงผู้บริโภคกับระบบการจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างที่น่าสนใจจากโมเดลของต่างประเทศ ได้แก่ บริษัท TerraCycle ซึ่งเป็นธุรกิจรีไซเคิลของสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาแพลตฟอร์มรีไซเคิลที่ดำเนินงานในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก โดยมีแนวคิดในการ “รีไซเคิลของเสียที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้” เช่น ถุงขนม แปรงสีฟัน นำมาสู่กระบวนการ Recycle และ Upcycle รวมถึงการจับมือกับแบรนด์ชั้นนำอย่าง Unilever และ P&G ในการนำเอาบรรจุภัณฑ์รีไซเคิลมาใช้กับผลิตภัณฑ์ของบริษัท นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวโครงการ Loop ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่นในสหรัฐฯ และยุโรป ในการใช้ร้านค้าปลีกเป็นพื้นที่สำหรับสร้างระบบรีฟิลและคืนบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว โมเดลธุรกิจดังกล่าวสะท้อนถึงโอกาสของธุรกิจรีไซเคิลที่เติบโตได้จริง หากมีการบริหารจัดการที่ดีและสร้างความร่วมมือจากทั้งภาคธุรกิจ ผู้บริโภค และภาครัฐ
ในบริบทของไทย ธุรกิจรีไซเคิลกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษพบว่า ปริมาณขยะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดในปี 2024 อยู่ที่ราว 28 ล้านตัน แต่มีเพียงราว 1 ใน 4 ที่เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นไม่เพียงตอกย้ำถึงความท้าทาย แต่ยังบ่งชี้ถึงโอกาสทางธุรกิจที่รอการพัฒนา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีศักยภาพเชิงอุตสาหกรรมอย่าง EEC ซึ่งได้ริเริ่มโครงการ Smart Recycling Hub เพื่อสร้างศูนย์กลางเศรษฐกิจหมุนเวียนครบวงจร ซึ่งโครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณขยะ แต่ยังเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับธุรกิจรีไซเคิลในอนาคต
อย่างไรก็ดี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ธุรกิจรีไซเคิลจะประสบความสำเร็จได้ ยังต้องอาศัยแรงหนุนในด้านนโยบายที่จะเป็นตัวเร่งให้พัฒนาได้เร็วขึ้น หนึ่งในแนวทางที่หลายประเทศใช้อย่างได้ผลคือ การออกกฎหมาย Extended Producer Responsibility (EPR) อย่างเช่นในสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นที่มีการกำหนดให้ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบต่อขยะจากผลิตภัณฑ์ของตนตั้งแต่ต้นจนจบวงจรชีวิตสินค้า โดยเปิดโอกาสให้ธุรกิจรีไซเคิลเข้ามาเป็นพันธมิตรกับแบรนด์สินค้าต่าง ๆ เพื่อจัดการของเสียเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการสร้างความร่วมมือระหว่างชุมชน ภาคธุรกิจ และภาครัฐเพื่อพัฒนาโครงการนำร่องต่าง ๆ ในระดับท้องถิ่นให้เกิดเป็นรูปธรรมมากขึ้น
ในอนาคตอันใกล้ ธุรกิจรีไซเคิลจะไม่ใช่แค่ทางเลือกเพื่อสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นกลยุทธ์สร้างมูลค่าเพิ่ม เสริมความได้เปรียบทางการแข่งขัน และขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวอีกด้วย