ฟื้นตัวท่ามกลางหมอกควัน
ภาวะการลงทุนในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ต้องบอกว่ามีสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปมาอยู่มากและมีผลถึงบรรยากาศการลงทุน ทำให้เกิดจุดหักที่เหสำคัญอยู่หลายจุด อย่างไรก็ตามทิศทางของสินทรัพย์เสี่ยงในประเทศไทยเช่น ตลาดหุ้นกลับฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและจัดได้ว่าในไตรมาสนี้หุ้นไทยจัดได้ว่าปรับตัวสูงสุดในโลก เหตุผลหลักคืออะไรพอมีคำตอบอยู่บ้าง ผมจะหยิบมาพูดในย่อหน้าท้ายๆ ครับ
ขอเล่าเรื่องต่างประเทศแบบสรุปหน่อยนะครับ ในช่วงที่ผ่านมาสหรัฐฯ นำโดยสหรัฐฯทยอยประกาศปิดดีลข้อตกลงการค้ากับประเทศที่เป็นคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ ล่าสุด เวียดนาม 20% ยุโรป 15% และอินเดีย จบที่ 25% ทำให้ อย่างไรก็ตาม การเจรจาทั้งหมดมีเป้าหมายที่จะให้เสร็จสิ้นทั้งหมดภายในเดือนนี้ อาจจะมีข้อยกเว้นกับจีนที่ต้องมีการเจรจาเพิ่มเติม ส่วนประเทศไทยผลออกมาล่าสุดอยู่ที่ 19% นับว่าเกินความคาดหมาย
ทั้งนี้ ผมคาดว่าภายใน 1 -2 เดือนจากนี้ไป ประเด็นเรื่อง reciprocal tariff จะหายไป แต่ประเด็นเรื่องของ อัตราเงินเฟ้อ และภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ จะเป็นประเด็นที่จะต้องติดตามกันต่อไป มาดูสินค้าโภคภัณฑ์กันบ้าง ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นในช่วงปลายเดือนทะลุระดับ 70 เหรียญฯ/บาร์เรล ตอบรับความคาดหวังเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโลก หลังสหรัฐฯทยอยบรรลุข้อตกลงการค้ากับประเทศต่างๆ และความกังวลทางด้านอุปทานน้ำมัน ของรัสเซีย หลังสหรัฐฯข่มขู่ว่าอาจใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเร็วขึ้น
หากยังไม่บรรลุข้อตกลงสันติภาพกับยูเครน ส่วนปัจจัยอื่นๆ ก็จะเป็นเรื่องของผลการดำเนินงานของหุ้นขนาดใหญ่ นักลงทุนขนาดใหญ่ทั่วโลกติดตามดู ถ้อยแถลงของบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้ที่มีต่อผลการดำเนินงานของตัวเอง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่นำมาวิเคราะห์ถึงแนวโน้มและโอกาสการลงทุนในหุ้นหรือในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก ได้แก่หุ้น Apple, Meta, Google, Nvidia และ Amazon
มาที่ปัจจัยภายในประเทศ ผลจากคลิปเสียง นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ก็ได้มีกระแสสังคมและสื่อโซเชียลต่างๆ กดดันให้มีการตรวจสอบความเหมาะสมด้านจริยธรรม และนำไปสู่คำสั่งศาลฯให้พักการปฏิบัติหน้าที่ หลังจากนั้นไม่นาน สถานการณ์ทางชายแดน ไทย กัมพูชา ก็ทวีความรุนแรงและขยายตัวจนเกิดการปะทะตลอดแนวชายแดนไทย กัมพูชา และการปะทะกันก็ยังมีอย่างต่อเนื่องถึงแม้จะได้มีการตกลงหยุดยิงกันเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม แต่ก็ยังมีการปะทะกันอยู่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ประเด็นที่น่าจะมีผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตอนนี้ ก็มีเรื่อง ภาษีการค้า การเมืองในประเทศ และการสู้รบตลอดแนวชายแดน ไทย กัมพูชา
คำถามที่ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่ผมจะตอบจากประสบการณ์ของผมเอง ทำไมในไตรมาสที่ 2 ของปี จาก สิ้นเดือน มิถุนายน จนถึง 25 กรกฎาคม ตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้น 11.7% คือสูงที่สุดในโลกก็ว่าได้ ทำไมจึงเป็นแบบนั้น ข้อแรกบอกว่าราคาหุ้นของประเทศไทยราคาถูก คำตอบคือ จริงบางส่วนแต่ไม่ทั้งหมดเพราะมีหลายภาคอุตสาหกรรมที่จะต้องได้รับผลกระทบจากภาษีการค้าของสหรัฐฯ
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ไม่ดีแน่ มีบางธุรกิจเท่านั้นที่ระดับราคาหุ้นต่ำจริง ข้อที่สองมีหลายคนบอกว่าการที่สหรัฐๆ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าผลกระทบจะตกสู่สหรัฐฯ ในเรื่องของเงินเฟ้อ ต้นทุนการผลิตที่แพงขึ้นก็น่าจะดึงเอาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แย่ลง ค่าเงินก็น่าจะอ่อนค่าลงทำให้เกิดกระแสเงินไหลออกจากสินทรัพย์ที่เป็นดอลล่าร์ไปยังสกุลเงินอื่น
ประเด็นนี้น่าสนใจ แต่ก็ไม่จริงทั้งหมด เพราะดูได้ว่าถึงแม้ในเดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นแต่ตลาดหุ้นใน สหรัฐฯ ก็ปรับตัวสูงขึ้นกระแสเงินยังดูดีอยู่ ดังนั้นประเด็นนี้มีจริงบ้าง พอดู มา 2-3 ประเด็น ก็เหลือประเด็นสุดท้ายที่หลายคนในตลาดหุ้นชอบพูดกันเวลาตลาดฟื้นตัว คือ Under Own หรือก็คือ คนขายขายหมดแล้ว คนอยาก Short sale ก็ไม่มีเพราะ ขาดทุนไปหมดแล้ว
ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือแต่ผู้ซื้อ และบริษัทจดทะเบียนไหนที่ยังมีโควตา Share buy back เหลือ ก็เดินหน้าซื้อหุ้นคืน รวมทั้งเจ้าของต่างๆก็อาจจะเริ่มเข้ามาเก็บหุ้นคืนเมื่อผู้ขายรายใหญ่หมด ในทางกลับกันสภาวะแบบนี้ Hedge Fund ก็ชอบเพราะถ้าขายไม่ลงแล้วและแรงขายหมดก็มาเริ่มเก็บของและดันราคา หุ้น ซึ่งประเด็นนี้ผมก็ให้น้ำหนักประมาณนึง ดังนั้นเมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้วก็อาจจะตอบได้ว่าการซึมตัวลงของตลาดหุ้นมาถึงจุดที่นักลงทุนหลากหลายประเภทและหลากหลายกลยุทธ มองเห็นว่าเป็นระดับที่ความเสี่ยงต่ำและมีโอกาสขึ้นมากกว่าลง จึงเป็นที่มาแบบนี้ละครับ
พอร์ตการลงทุนเดือนนี้ก็ต้องบอกว่า ถือสินทรัพย์เสี่ยงกันไปก่อนไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทยหุ้นนอกขอให้เกิน 50% ของพอร์ตเอาไว้ ส่วนตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล ก็เน้น duration ยาวหน่อย 5 -7 ปี หุ้นกู้เอกชน ก็คงต้องเอาระดับ A- ขึ้นไปไว้ก่อนอาจจะมีออกมาให้เลือกไม่เยอะแต่ก็ดีกว่าฝากเงิน รีทส์ กับ ทอง มีบ้างได้ สุดท้ายสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้เรื่องหุ้น ก็อยากจะให้เน้นไปทาง หุ้นเติบโต จะดีกว่า