กต. เชิญทูตตปท.ฟังสรุปสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ย้ำทุ่นระเบิดเป็นของเขมร ยื่นหนังสือประท้วงกัมพูชา แจ้งปธ.อนุสัญญาออตตาวา
กต. เชิญทูตตปท.ฟังสรุปสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ย้ำทุ่นระเบิดเป็นของเขมร ยื่นหนังสือประท้วงกัมพูชา แจ้งปธ.อนุสัญญาออตตาวา
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม กระทรวงการต่างประเทศ จัดการบรรยายสรุปแก่คณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย และผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย เกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา การบรรยายดังกล่าวมีนางเอกสิริ ปิณฑะรุจิ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ, นางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ, พลเอกศักดิ์สิทธิ์ แสงชนินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ หรือ TMAC และพลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก) กล่าวให้ข้อมูล
การบรรยายดังกล่าวมีเอกอัครราชทูต และผู้แทนจากสถานทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย จำนวน 93 คน จาก 68 ประเทศ รวมสหภาพยุโรป (อียู) เข้าร่วมรับฟัง ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม สถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย ไม่ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมรับฟังการบรรยายสรุปในครั้งนี้ แม้ว่ากระทรวงการต่างประเทศได้ออกหนังสือเชิญไปแล้วก็ตาม
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่าวัตถุประสงค์ของการบรรยายสรุปในวันนี้เป็นการบรรยายต่อเนื่องจากการบรรยายของกองทัพบกต่อผู้ช่วยทูตทหาร ที่ได้มีการบรรยายไปเมื่อวานนี้ (21 ก.ค.) เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีกำลังพลกองทัพบก 3 นาย ประสบเหตุเหยียบกับระเบิดขณะลาดตระเวณบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง รวมถึงศูนย์ ศบ.ทก.ได้ยืนยันผลการตรวจสอบ และออกแถลงการณ์แล้วหลายฉบับ ซึ่งในช่วงต้นของการบรรยาย ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงวัตถุประสงค์ เพื่อให้คณะทูต และผู้ช่วยทูตทหารฯ ได้รับข้อมูลความคืบหน้าจากหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะประเด็นทุ่นะระเบิด เพื่อยืนยันจุดยืนของไทย และการแก้ปัญหาอย่างสันติผ่านการเจรจาทวิภาคี
ขณะที่ โฆษก ศบ.ทก.ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง และการดำเนินการของหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ พร้อมย้ำว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในดินแดนอธิปไตยของไทย และผู้อำนวยการ TMAC ได้ย้ำบทบาทของศูนย์ TMAC โดยเฉพาะตามอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ค.ศ. 1997 หรือ อนุสัญญาออตตาวา รวมถึงการดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยศูนย์ TMAC ในครั้งนี้ พร้อมยืนยันว่าทุ่นระเบิดเป็นของกัมพูชา และเรียกร้องให้กัมพูชาให้ความร่วมมือในระดับทวิภาคีในการเก็บกู้วัตถุระเบิด และสืบสวนข้อเท็จจริง รวมถึงอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ได้ย้ำพันธกรณีของไทยตามอนุสัญญาออตตาวาที่ไทยเป็นรัฐภาคี พร้อมแสดงการประท้วงของไทยต่อกัมพูชา หลังการรวบรวมหลักฐานในพื้นที่
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังเปิดเผยว่า ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ยังได้ชี้แจง 5 ประเด็นหลักต่อคณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย และผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย โดยผลการสอบสวนของไทยยืนยันว่าไทยไม่เคยใช้และไม่มีทุ่นระเบิดชนิดดังกล่าวในคลังอาวุธของไทย โดยเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชาที่ถูกวางใหม่ ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง รัฐบาลไทยมีแถลงการณ์ประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และขัดหลักพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศตามที่ระบุในกฎบัตรสหประชาชาติ เป็นการกระทำที่ละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน
นายนิกรเดชกล่าวอีกว่า จากหลักฐานทั้งหมดที่รวบรวม ในวันที่ 23 กรกฎาคม กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยมารับหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการต่อกัมพูชา ถึงการละเมิดอธิปไตย ไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวา และขอให้กัมพูชาตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แสดงความรับผิดชอบ เยียวยาผู้เสียหาย รวมถึงเก็บกู้วัตถุระเบิดตามที่เคยมีการตกลงกันไว้ อีกทั้งกระทรวงการต่างประเทศ โดยเอกอัครราชทูตไทยผู้แทนประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ได้ยื่นหนังสือประท้วงถึงเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรญี่ปุ่นประจำการประชุมว่าด้วยการลดอาวุธ ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาแล้วเมื่อเช้าวันที่ 23 กรกฎาคม ซึ่งมีเนื้อหาที่สอดคล้องกับหนังสือประท้วงที่ส่งไปยังสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกรัฐภาคีที่มีความรับผิดชอบต่อนานาประเทศ จึงต้องรายงานการละเมิดอนุสัญญาฯ ของกัมพูชาในฐานะรัฐภาคี และย้ำว่าไทยต้องการใช้กลไกทวิภาคีกับกัมพูชาในดำรงไว้ซึ่งการปฏิบัติตามอนุสัญญา และข้อสุดท้าย ปลัดกระทรวงการต่างประเทศยังได้เน้นย้ำจุดยืนของไทยที่สอดคล้องสากล กฎหมายระหว่างประเทศ พันธกรณีต่างๆ ที่ประเทศไทย และในขณะเดียวกัน ไทยยังคงพร้อมพูดคุยหาทางออกกับกัมพูชาอย่างสันติผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่
นายนิกรเดชยังเปิดเผยว่า ขณะนี้ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อยู่ระหว่างการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา เพื่อนำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ประจำปี ค.ศ. 2025 (High-Level Political Forum on Sustainable Development 2025) หรือ HLPF2025 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก และได้มีโอกาสพบผู้แทนระดับสูงจากต่างประเทศ จึงได้ใช้โอกาสนี้ยืนยันจุดยืนประเทศไทยต่อประชาคมโลกในการแก้ปัญหาอย่างสันติ และการเจรจาผ่านกรอบทวิภาคี
ในวันที่ 23 กรกฎาคม นายมาริษได้พบรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปากีสถาน ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ประจำเดือนกรกฎาคม รวมถึงยังได้พบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประเทศปานามา ซึ่งจะเป็นประธาน UNSC ในเดือนสิงหาคม ซึ่งทั้งฝ่ายปากีสถาน และปานามา ก็เห็นพ้องในการแก้ปัญหาของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคี และหากมีการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาก็จะต้องมีการแก้ไข
ส่วนในคำถามที่ว่าไทยจะมีการพิจารณามาตรการตอบโต้ให้เข้มข้นขึ้นหลังมีการยั่วยุบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา มากกว่าการออกเอกสารประท้วง เช่น การเชิญเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญกลับไทย หรือการให้เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยกลับไปหรือไม่นั้น นายนิกรเดชยืนยันว่ายังไม่ถึงขั้นนั้น เพราะไทยยังย้ำการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี ผ่านการเจรจาทวิภาคี และเอกอัครราชทูต ก็เป็นกลไกสำคัญในการเปิดช่องให้มีการเจรจาทวิภาคี ดังนั้น ฝ่ายไทยจึงยังไม่มีการพิจารณาถึงจุดนั้น
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : กต. เชิญทูตตปท.ฟังสรุปสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ย้ำทุ่นระเบิดเป็นของเขมร ยื่นหนังสือประท้วงกัมพูชา แจ้งปธ.อนุสัญญาออตตาวา
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th