เวียดนามอนาคตสดใส GDPเม.ย-มิ.ย.พุ่ง 7.96% ส่งออกโตแรง ปิดดีลสหรัฐฯได้
เศรษฐกิจเวียดนามขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้นในไตรมาสที่สองของปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง ถือเป็นสัญญาณบวกเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเวียดนามในอัตรา 20% ซึ่งต่ำกว่าที่เคยขู่ไว้
ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศข้อตกลงการค้าเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของเวียดนามในฐานะศูนย์กลางการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม
ข้อมูลของรัฐบาลที่เผยแพร่เมื่อวันเสาร์ ระบุว่า GDP ของเวียดนามในไตรมาสเมษายน-มิถุนายน ขยายตัว 7.96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นจาก 6.93% ในไตรมาสแรก โดยตัวเลขนี้เกือบแตะเป้าหมายการเติบโตทั้งปีของรัฐบาลที่ตั้งไว้ที่อย่างน้อย 8%
สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนามกล่าวว่า “ผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ในเกณฑ์ดีและใกล้เคียงกับเป้าหมายของเรา แม้จะมีความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลกและภูมิภาค”
ในไตรมาสที่สอง การส่งออกของเวียดนามเพิ่มขึ้น 18.0% อยู่ที่ 1.17 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้าสูงขึ้น 18.8% อยู่ที่ 1.12 แสนล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เวียดนามมีดุลการค้าเกินดุล 4.41 พันล้านดอลลาร์
ด้านภาคการผลิตขยายตัว 10.3% ในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 3.57%
ข้อตกลงภาษีใหม่ช่วยลดแรงกดดัน แต่ภาคธุรกิจรอความชัดเจน
เมื่อวันพุธ ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่าสหรัฐฯ และเวียดนามได้บรรลุข้อตกลงการค้า โดยสินค้านำเข้าจากเวียดนามจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 20% และสินค้าที่ถ่ายโอนจากประเทศที่สามผ่านเวียดนามจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 40% ในขณะที่เวียดนามจะสามารถนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า (อัตรา 0%)
อัตราภาษีที่ตกลงกันนี้ต่ำกว่าที่ทรัมป์เคยขู่ไว้ว่าจะเก็บในอัตรา 46% เมื่อเดือนเมษายน
เวียดนามมองว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นแรงสนับสนุนต่อภาคธุรกิจ และระบุว่าคณะเจรจากำลังเร่งหารือเพื่อสรุปรายละเอียดเพิ่มเติม โดยภาคธุรกิจยังคงรอข้อมูลที่ชัดเจนเพื่อประเมินผลกระทบที่แท้จริงจากโครงสร้างภาษีใหม่
สหรัฐฯ ถือเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคที่มีบริษัทข้ามชาติรายใหญ่อย่าง Samsung Electronics และ Foxconn ดำเนินกิจการอยู่ โดยในปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับเวียดนามสูงถึง 1.23 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตัวเลขการขาดดุลที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แม้ว่ารายงานเศรษฐกิจชุดนี้อาจช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐฯ มีเวลาตัดสินใจเพิ่มขึ้น แต่เส้นตายของทรัมป์ในการบังคับใช้ภาษีจะหมดอายุในอีกเพียง 5 วัน
เวียดนามยังเป็นฐานการผลิตของบริษัทจีนหลายแห่ง ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าเป็นเป้าหมายหลักของภาษี 40% ที่จะใช้กับสินค้าที่มีการถ่ายโอนผ่านเวียดนาม โดยจีนถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม และเวียดนามต้องพึ่งพาจีนอย่างมากในด้านชิ้นส่วนและวัตถุดิบสำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิต
บริษัท Fitch Solutions ระบุในรายงานเมื่อวันศุกร์ว่า การส่งออกและการลงทุนของเวียดนามจะยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี และอาจทำให้การเติบโตของ GDP ปี 2025 สูงกว่าคาดการณ์เดิมที่ 6.4%
Fitch ยังระบุด้วยว่า “ด้วยอัตราภาษีใหม่ที่ 20% เราคาดว่ารัฐบาลเวียดนามจะเร่งยกระดับภาคอุตสาหกรรม และเปลี่ยนทิศทางการส่งออกจากสินค้าที่มีมาร์จิ้นต่ำไปสู่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เช่น เซมิคอนดักเตอร์”
โดมินิค สคริฟเวน ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัทการลงทุน Dragon Capital กล่าวว่า ข้อตกลงการค้านี้ถือเป็น “ผลบวกโดยรวม” และผลกระทบต่อ GDP น่าจะเบากว่าที่เคยกังวลไว้
“เมื่อความเสี่ยงด้านการค้าภายนอกเริ่มลดระดับลง ความสนใจจะกลับไปสู่เครื่องยนต์หลักของการเติบโตของเวียดนาม นั่นคือเศรษฐกิจภาคเอกชนและเศรษฐกิจภายในประเทศ” สคริฟเวนกล่าว