‘โรคไข้ดิน’ไม่ใช่โรคใหม่ ไม่ต้องตื่นตระหนก แต่ต้องระวัง
จากที่เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สื่อสารเตือนโรคในช่วงฤดูฝน โดยหยิบยกชูมาเน้นเพียง 2 โรค คือ โรคเมลิออยโดสิส หรือโรคไข้ดิน ที่ระบุว่ามีผู้ป่วยแล้ว จำนวน 2,036 ราย เสียชีวิต 92 ราย อัตราป่วยตายอยู่ที่ 4.52% โดยผู้ป่วยพบมากในอาชีพเกษตรกร และรับจ้างทั่วไป พบผู้ป่วยได้ทั่วประเทศ และโรคเลปโตสไปโรสิส หรือไข้ฉี่หนู พบผู้ป่วยสะสม 1,895 ราย เสียชีวิต 25 ราย อัตราป่วยตาย 1.32%
อาจส่งผลต่อความเข้าใจและตื่นตระหนกต่อประชาชนจำนวนไม่น้อยว่า “โรคไข้ดิน”เป็นโรคใหม่ที่กำลังระบาดอยู่หรือไม่ แต่แท้จริงแล้ว “โรคไข้ดิน”ไม่ใช่โรคใหม่ โรคนี้พบมานานแล้ว และแต่ละปีพบผู้ป่วยในประเทศไทยเป็นประจำ อย่างเช่น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม–25 ตุลาคม 2567 พบผู้ป่วย 3,191 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 9.72 ต่อประชากรแสนคน เสียชีวิต 100 ราย
รู้จักโรคเมลิออยโดสิส (โรคไข้ดิน)
ทั้งนี้ โรคเมลิออยโดสิส (โรคไข้ดิน) ปี 2568 พบผู้ป่วยจำนวนมากในภาตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 3 อันดับแรก คือ มุกดาหาร ยโสธร และนครพนม จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด คือ บุรีรัมย์ และนครราชสีมา
โรคไข้ดินเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Burkholderia pseudomallei สามารถพบเชื้อได้ที่แหล่งดินและน้ำตามธรรมชาติ ทั่วประเทศไทย สามารถติดต่อได้ผ่านทางผิวหนัง โดยการสัมผัสดินและน้ำเป็นเวลานาน โดยไม่จำเป็นต้องมีบาดแผล และในส่วนน้อยสสามารถติดได้ผ่านการดื่มน้ำและกินอาหารที่ปนเปื้อน รวมถึง ผ่านการหายใจโดยการสูดดมละอองฝุ่นดินขณะเกิดพายุฝน (พบรายงานในต่างประเทศ)
มีระยะฟักตัว 1 วัน ไปจนถึงหลายปี โดยทั่วไปอาการมักเกิดขึ้นใน 1 - 4 สัปดาห์ หลังได้รับเชื้อ หากติดเชื้อในกระแสเลือด แล้วไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เสี่ยงเสียชีวิตสูง
การวินิจฉัยเพื่อยืนยันได้จากการแยกเชื้อ หรือการเพิ่มสูงของระดับภูมิคุ้มกัน สำหรับการตรวจ Direct Immunofl uorescent Microscopy นั้นมีความจำเพาะสูง 90 % แต่มีความไวค่อนข้างตํ่าเพียงร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับการเพาะเชื้อ จึงควรนึกถึงโรคนี้ในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่สามารถตรวจหาสาเหตุการป่วยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่มีโพรงในปอด คนที่อาศัยหรือเดินทางกลับจากแหล่งที่มีโรคชุก โรคนี้อาจเริ่มแสดงอาการหลังติดเชื้อนานถึง 25 ปี
การรักษาแบบประคับประคองและให้ยาเซฟตาซิดีนิ (Ceftazidime) หรือยาอิมิพีเนม(Imipenem) ทางหลอดเลือดอย่างน้อย 10 วัน แล้วให้การรักษาด้วยยาไตรเมโธพริม - ซัลฟาเมธอกซาโซล(Trimetoprim-Sulfamethoxazole) แบบรับประทาน(เป็นระยะเวลา 24 สัปดาห์) ซึ่งอาจให้ร่วมกับยาด๊อกซีซัยคลิน (Doxycycline) ในเด็กที่อายุมากกว่า 8 ปี
คำแนะนำในการป้องกันโรคไข้ดิน สำหรับประชาชน 1. หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือสัมผัสดินและน้ำโดยตรง หากจำเป็นหลังลุยน้ำ ย่ำโคลน ให้รีบชำระล้างร่างกายด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที
2. ทานอาหารปรุงสุก ดื่มน้ำสะอาดที่บรรจุภัณฑ์มาตรฐานหรือน้ำต้มสุกทุกครั้ง
3. น้ำที่ใช้อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ควรเป็นน้ำสะอาด ที่มีระดับคลอรีนตามมาตรฐาน
4. หลีกเลี่ยง การสูดลมฝุ่นและการอยู่ท่ามกลางสายฝน
5. หากมีไข้สูงต่อเนื่อง 2 วัน ร่วมกับมีประวัติการสัมผัสดินและน้ำ ให้รีบพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะเกษตรกรและผู้ป่วยโรคเบาหวาน
อีก 11 โรคที่ต้องระวังในฤดูฝน
อย่างไรก็ตาม ในการให้ข้อมูลเพื่อเตือนโรคในช่วงฤดูฝน ของกรมควบคุมโรคนั้น มีถึง 12 โรค โดยโรคไข้ดินเป็นหนึ่งในนั้น และอีกหลายโรคนั้น มีจำนวนผู้ป่วยมากกว่าโรคไข้ดิน
1.โควิด 19 ตั้งแต่ 1 มกราคม – 28 กรกฎาคม 2568 พบผู้ป่วย 603,363 ราย ผู้เสียชีวิต 247 ราย อัตราป่วยตาย 0.04% ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 24 มีแนวโน้มผู้ป่วยลดลงอย่างต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ จากจำนวนผู้เสียชีวิตที่ระบุข้อมูลโรคประจำตัวในระบบเฝ้าระวังโรค 107 ราย พบว่าเป็นกลุ่ม 608 คิดเป็น 94 %
โดยข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบการระบาดของสายพันธุ์ NB.1.8.1 เป็นสายพันธุ์หลักแต่มีสัดส่วนลดลง ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 องค์การอนามัยโลกประกาศให้สายพันธุ์ XFG เป็นสายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง โดยสายพันธุ์ XFG เกิดจากการผสมกันของสายพันธุ์ LF.7 และ LP.8.1.2 แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าทำให้เกิดโรครุนแรงมากขึ้น
2.โรคไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 28 กรกฎาคม 2568 ผู้ป่วยสะสม 418,818 ราย มีผู้เสียชีวิต 53 ราย มีโรคประจำตัว 32 ราย ( 60.38 %) แนวโน้มผู้ป่วยคงที่แต่ยังสูงกว่าปี 2567 กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 5 - 9 ปี, 0 - 4 ปี และ 10 - 14 ปี ตามลำดับ เป็นผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล (IPD) 57,662 ราย (13.77%) โดยสายพันธุ์ที่ตรวจพบมากที่สุด เป็น A/H1N1 (pmd09) 47.62% รองลงมา คือ B (Victoria) (27.98%) และ A/H3N2 (24.40%) ตามลำดับ
3.โรคติดเชื้อไวรัส RSV ปี 2568 พบผู้ป่วย 1,556 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 0 - 4 ปี แนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นและสูงกว่าปี 2567 ปัจจุบันกำลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลระบาดของเชื้อไวรัส RSV
4.โรคปอดอักเสบ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 18 กรกฎาคม 2568 ผู้ป่วยสะสม 245,337 ราย ผู้เสียชีวิต 402 ราย อัตราป่วยตาย ร้อยละ 0.164 มีแนวโน้มผู้ป่วยลดลง ผู้ป่วยที่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล (IPD) 75,694 ราย (30.85%) กลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 0 - 4 ปี รองลงมาคือ 60 ปีขึ้นไป และ 5 - 9 ปี ตามลำดับ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป รองลงมาคือ 50 - 59 ปี และ 40 - 49 ปี ตามลำดับ
5.โรคไข้เลือดออก ปี 2568 พบผู้ป่วย 30,792 ราย ผู้เสียชีวิต 29 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยเรียน แต่อัตราป่วยตายสูงในกลุ่มอายุ 45 ปี ขึ้นไป มีการพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้เสียชีวิตเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ปัจจัยเสี่ยงในผู้ป่วยเสียชีวิต คือ มีโรคประจำตัว ได้รับยา NSAIDs ไปโรงพยาบาลช้า ติดสุรา และมีภาวะน้ำหนักเกินมาตรฐาน
6.โรคมือเท้าปาก ปี 2568 พบผู้ป่วย 34,287 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ 0 - 4 ปี, 5 - 9 ปี, 10 - 14 ปี ตามลำดับ โรคมือเท้าปาก มักเกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Enterovirus มีระยะฟักตัว 3 - 5 วัน หลังจากได้รับเชื้อ สามารถติดต่อทางตรงได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น น้ำมูก น้ำลาย และอุจจาระของผู้ป่วย และติดต่อทางอ้อมจากการสัมผัสผ่านของเล่น และจุดสัมผัสร่วมกันที่อาจเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อ เช่น ก๊อกน้ำดื่ม ราวบันได
7.โรคติดเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส ซูอิส (ไข้หมูดิบ) ปี 2568 พบผู้ป่วย 593 ราย ผู้เสียชีวิต 37 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป รองลงมาเป็นกลุ่มอายุ 50 - 59 ปี, 40 - 49 ปี ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 50 - 59 ปี รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป
8.โรคเลปโตสไปโรสิส (โรคไข้ฉี่หนู) 1 มกราคม - 17 กรกฎาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสม 1,895 ราย มีผู้เสียชีวิต 25 ราย กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป, 50 - 59 ปี และ 30 - 39 ปี ตามลำดับ กลุ่มอายุที่พบผู้เสียชีวิตมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป, 50 - 59 ปี และ 40 - 49 ปี ตามลำดับ
โรคเลปโตสไปโรสิส เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน เกิดจากการติดเชื้อ “เลปโตสไปร่า” มีระยะฟักตัว 2 - 30 วัน แต่ส่วนใหญ่มักเกิดภายใน 5 - 14 วัน หลังลุยน้ำย่ำโคลน สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสกับปัสสาวะของสัตว์ที่ติดเชื้อ สัมผัสกับน้ำหรือดินที่ปนเปื้อนเชื้อ กินอาหารที่ปนเปื้อนกับปัสสาวะของสัตว์
9. โรคแอนแทรกซ์ วันที่ 1 มกราคม - 18 กรกฎาคม 2568 พบผู้ป่วย 7 ราย เสียชีวิต 1 ราย ทั้งนี้ อาการของผู้ที่ติดเชื้อ 95 - 99% ของผู้ป่วยมักเป็นที่มือ แขน คอ หรือขา เริ่มจากเป็นตุ่มแข็งเปลี่ยนเป็นตุ่มน้ำใส และแตกเป็นแผลหลุมดำคล้ายบุหรี่จี้ อัตราป่วยตาย 5 - 20% หรืออาจมาด้วยอาการทางระบบทางเดินอาหาร กรณีรุนแรงสุดแต่พบไม่บ่อย อาการในช่วงแรกจะคล้ายกับผู้ป่วยทางเดินหายใจตอนบน จากนั้นจะหายใจขัด หายใจลำบาก และอาจเสียชีวิตได้
10.โรคไข้หวัดนก สถานการณ์ทั่วโลก มีผู้ป่วยสะสมโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ A(H5N1) จำนวน 986 ราย ผู้เสียชีวิต 473 ราย อัตราป่วยตาย 48 % สำหรับกัมพูชา ปี 2568 พบผู้ป่วย 13 ราย เสียชีวิต 6 ราย ทั้งนี้ ประเทศไทยความเสี่ยงยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ยังต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง
11.โรคหัด วันที่ 1 มกราคม - 21 กรกฎาคม 2568 มีรายงานผู้ป่วยไข้ออกผื่นหรือสงสัยหัด หัดเยอรมัน สะสม 1,524 ราย เป็นผู้ป่วยยืนยันโรคหัดหรือมีความเชื่อมโยงทางระบาดวิทยา 473 ราย (ยืนยัน 401 ราย มีประวัติเชื่อมโยง 72 ราย) มีภาวะปอดอักเสบ 21 ราย สถานการณ์โรคหัดในประเทศไทย พบผู้ป่วยกระจายทุกภูมิภาคโดยเฉพาะในภาคตะวันออก และทางตอนล่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบอัตราป่วยในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มากที่สุด ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคหัด สามารถแพร่กระจายเชื้อผ่านทางการหายใจ (airborne transmission) ได้ตั้งแต่ 4 วันก่อนผื่นขึ้น ไปจนถึง 4 วันหลังจากเริ่มมีผื่นขึ้น