ธุรกิจโรงแรมไทย 68 คึกคัก! อัตราเข้าพักพุ่ง-ราคาขยับ รับนักท่องเที่ยว
ในฐานะฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว กำลังกลับมาเป็นความหวังหลักในการสร้างรายได้และกระตุ้นการเติบโตของประเทศ ท่ามกลางพลวัตของตลาดและความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป การจับตาสัญญาณและแนวโน้มในธุรกิจโรงแรมจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับโอกาสและความท้าทายที่รออยู่ในครึ่งหลังของปี 2568
ข้อมูลจาก SCB EIC Industry insight ระบุว่า ในปี 2568 ธุรกิจโรงแรมของไทยแสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของอัตราการเข้าพักและราคาห้องพักเฉลี่ย ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวม โดยคาดการณ์ว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 75% การเติบโตนี้เป็นผลพวงมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทย ซึ่งสอดรับกับมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐที่ทยอยออกมาตลอดทั้งปี
ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวต่างชาติก็เริ่มกลับมาใกล้เคียงภาวะปกติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพสูงที่เติบโตแบบก้าวกระโดด เช่น นักท่องเที่ยวรัสเซีย ซึ่งมีแนวโน้มเดินทางมาไทยมากขึ้นและพำนักในประเทศนานขึ้นตามนโยบายขยายระยะเวลาการพำนักในไทยเป็น 90 วัน
ด้านราคาห้องพักเฉลี่ยมีการคาดการณ์ว่าจะปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้ประกอบการโรงแรม โดยเฉพาะในกลุ่มโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป ได้มีการปรับราคาห้องพักภายหลังการปรับปรุงและยกระดับการให้บริการให้สอดคล้องกับเทรนด์การท่องเที่ยวปัจจุบัน นอกจากนี้ อุปสงค์ที่ดีขึ้นจากยอดจองที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการจัดโปรโมชันอย่างต่อเนื่อง ก็มีส่วนช่วยหนุนให้ราคาห้องพักปรับสูงขึ้นเช่นกัน
เช่นเดียวกับนางสาวโชติกา ทั้งศิริทรัพย์ หัวหน้าแผนกวิจัยและให้คำปรึกษา ซีบีอาร์อี (CBRE) ที่เปิดเผยถึงรายละเอียดแนวโน้มในปี 2568 ว่า ปีนี้คาดการณ์ว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาถึง 40 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มี 35.5 ล้านคน โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักจะยังคงเป็น จีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ รัสเซีย และไต้หวัน ส่วนด้านอุปทานนั้น คาดว่าโรงแรมจะมีซัพพลายรวม 80,000 คีย์ เพิ่มขึ้น 7% และซัพพลายกลุ่มใหม่ที่เข้ามาคือโรงแรมระดับลักชัวรี ซึ่งจะส่งผลให้ราคาห้องพักปรับเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 4,000 บาทต่อคืน
ในมุมมองด้านการลงทุน เจแอลแอล (JLL) บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ คาดการณ์ว่ามูลค่าการซื้อขายโรงแรมในไทยปี 2568 อาจสูงเกิน 1.3 หมื่นล้านบาท โดยกรุงเทพฯ ยังคงเป็นทำเลที่น่าสนใจสูงสุด เจแอลแอลยังชี้ว่ากลุ่มโรงแรมระดับไฮเอนด์จะมีผลประกอบการที่คงที่ ขณะที่กลุ่มราคาประหยัดและระดับกลางจะยังคงปรับตัวดีขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่แตกต่างกันของนักท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวในยุคใหม่มีความพร้อมที่จะจ่ายมากขึ้นเพื่อบริการระดับพรีเมียมและประสบการณ์ที่แปลกใหม่ รวมถึงเทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness tourism) และการทำงานจากที่ใดก็ได้ (Workation) ที่กำลังเป็นที่นิยม
สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 นั้น เมืองท่องเที่ยวหลายแห่งเตรียมรับแรงหนุนเพิ่มเติม ซึ่งระบุว่าภาคอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมจะได้รับอานิสงส์จากการดำเนินโครงการ "เที่ยวไทยคนละครึ่ง" เฟสใหม่ ที่เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม - 31 ตุลาคม 2568 รวมถึงมาตรการยกเว้นวีซ่าที่บังคับใช้มาตั้งแต่กลางปี 2567 ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเดินทางและเพิ่มระยะเวลาการพำนักของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพสูงอย่างรัสเซีย ที่ได้รับสิทธื์พำนักในไทยนานขึ้นถึง 90 วัน
ทั้งนี้ การปรับตัวของผู้ประกอบการยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการนำเสนอนวัตกรรม การยกระดับมาตรฐานบริการ และการให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความยั่งยืน ซึ่งกำลังเป็นแรงผลักดันให้โรงแรมไทยต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดใหม่ของสหภาพยุโรปภายในปี 2569 เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและคว้าโอกาสในตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป