'ญี่ปุ่น' คว้าสัญญา 2.1 แสนล้าน ผลิตเรือฟริเกต 11 ลำให้ ‘ออสเตรเลีย’ ใช้ต้านอิทธิพลจีน
ญี่ปุ่นคว้าสัญญาผลิตเรือรบให้กับแดนจิงโจ้ รวมมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 210,000 ล้านบาทเมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยถือเป็นการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ครั้งสำคัญที่สุดนับตั้งแต่ยกเลิกมาตรการห้ามส่งออกอาวุธในปี 2014 ท่ามกลางความพยายามของญี่ปุ่นที่จะถอยห่างจากแนวทางใฝ่สันติในยุคหลังสงครามเพื่อร่วมมือกับพันธมิตรต่อต้านจีน
ภายใต้ข้อตกลงนี้ บริษัท มิตซูบิชิ เฮฟวี อินดัสตรีส์ (Mitsubishi Heavy Industries) จะจัดหาเรือฟริเกตอเนกประสงค์ชั้นโมกามิ (Mogami) รุ่นอัปเกรดจำนวน 3 ลำที่ผลิตในญี่ปุ่นให้แก่กองทัพเรืออสเตรเลียตั้งแต่ปี 2029 เป็นต้นไป และจะมีการผลิตเรือฟริเกตอีก 8 ลำในออสเตรเลีย
เรือรบอัตโนมัติขั้นสูงเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อล่าเรือดำน้ำ โจมตีเรือผิวน้ำ และป้องกันภัยทางอากาศ โดยใช้ลูกเรือเพียงแค่ 90 นาย หรือครึ่งหนึ่งของจำนวนลูกเรือทั้งหมดบนเรือฟริเกตชั้น Anzac ของออสเตรเลีย
ออสเตรเลียมีแผนที่จะประจำการเรือเหล่านี้เพื่อปกป้องเส้นทางการค้าทางทะเลที่สำคัญ รวมถึงในพื้นที่ฝั่งเหนือในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งเป็นพื้นที่ที่จีนกำลังขยายอิทธิพล
“มันจะมีความสำคัญอย่างยิ่งในแง่ของการเพิ่มขีดความสามารถให้กองทัพเรือของเรา และการแสดงออกที่มีประสิทธิภาพคือหัวใจสำคัญของความท้าทายเชิงกลยุทธ์” ริชาร์ด มาร์เลส รองนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ระบุในการแถลงข่าว
สำหรับเรือฟริเกตชั้นโมกามิซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงระดับโลกไปสู่เรือรบแบบโมดูลาร์อเนกประสงค์ จะให้อำนาจการยิงที่มากขึ้น และมีพิสัยทำการไกลกว่ากองเรือปัจจุบันถึง 4,000 ไมล์ทะเล
แพท คอนรอย รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมกลาโหมของออสเตรเลียระบุในแถลงข่าวร่วมกับ มาร์เลส ว่า “มันจะช่วยให้กองเรือฟริเกตอเนกประสงค์ของเราสามารถยิงขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศได้เพิ่มเป็น 128 ลูก จากเดิม 32 ลูก” ซึ่งรวมถึง “ขีปนาวุธที่ทันสมัยที่สุด”
ข้อตกลงนี้ยังสะท้อนความพยายามของญี่ปุ่นที่จะสร้างความสัมพันธ์ด้านความมั่นคง นอกเหนือจากการเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ เพื่อต่อต้านจีน
ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ “ทำให้จีนเล่นงานญี่ปุ่นและออสเตรเลียได้ยากขึ้น และส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังปักกิ่งว่า ทั้ง 2 ประเทศพร้อมจะทำให้ความเป็นพันธมิตรบางส่วนนี้มีผลอย่างจริงจัง” ยวน เกรแฮม นักวิเคราะห์อาวุโสด้านกลยุทธ์การป้องกันประเทศจากสถาบันนโยบายเชิงกลยุทธ์ออสเตรเลีย (Australian Strategic Policy Institute) กล่าว
ข้อตกลงที่ประสบความสำเร็จนี้ช่วยบรรเทาความขุ่นข้องหมองใจในปี 2016 เมื่อออสเตรเลียปฏิเสธโครงการเรือดำน้ำของญี่ปุ่นซึ่งนำโดย มิตซูบิชิ เฮฟวี อินดัสตรีส์ เช่นกัน และไปเลือกใช้บริการเรือดำน้ำของฝรั่งเศสแทน
อย่างไรก็ตาม แคนเบอร์ราได้ยกเลิกโครงการดังกล่าวในปี 2023 และเลือกที่จะพัฒนาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ร่วมกับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ภายใต้ข้อตกลง AUKUS แทน
“เราได้นำบทเรียนนี้มาใส่ใจ รัฐบาลออสเตรเลียไม่เพียงตระหนักถึงจุดแข็งทางเทคนิคของเรือของเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของทั้งรัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมด้วย” เก็น นากาตานิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น ระบุในการแถลงข่าวที่กรุงโตเกียว
คำสั่งซื้อเบื้องต้นสำหรับเรือฟริเกต 3 ลำที่สร้างโดยญี่ปุ่นจะถือเป็นการจัดซื้อทางเรือครั้งใหญ่ที่สุดของออสเตรเลียนับตั้งแต่ข้อตกลง AUKUS ขณะที่เรืออีก 8 ลำที่เหลือคาดว่าจะผลิตโดยบริษัท Austal ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย
“ขณะนี้เรามุ่งเน้นไปที่การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการซ่อมบำรุงในออสเตรเลียสำหรับเรือที่จะสร้างที่นั่นและกำลังเริ่มต้นพูดคุยกับบริษัทท้องถิ่น” ฮิโรชิ นิชิโอะ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ มิตซูบิชิ เฮฟวี อิสดัสตรีส์ กล่าวหลังจากบริษัทประกาศผลประกอบการรายไตรมาสล่าสุด
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก มิตซูบิชิ เฮฟวี อินดัสตรีส์ ซึ่งเป็นบริษัทรับเหมาด้านการป้องกันประเทศรายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นยังไม่เคยพิสูจน์ประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการโครงการทางทหารในต่างประเทศ ดังนั้นบริษัทจึงจะประสานไปยังหน่วยงานธุรกิจอื่นๆ เพื่อสนับสนุนโปรเจ็กต์นี้ ตามข้อมูลจาก นิชิโอะ
เจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ประเทศยอมรับว่า การกำหนดราคา แผนสนับสนุน และการถ่ายโอนการผลิตไปยังออสเตรเลีย ยังเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องตกลงกันให้แล้วเสร็จ ก่อนที่จะมีการลงนามสัญญาฉบับสมบูรณ์ในช่วงต้นปีหน้า
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติออสเตรเลียได้ตัดสินใจเลือกเรือฟริเกตชั้นโมกามิของญี่ปุ่น แทนที่จะเป็นระบบเรือ MEKO A-200 ของบริษัท ThyssenKrupp ของเยอรมนี
ที่มา: รอยเตอร์
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO