CPF เล็งลงทุนธุรกิจอาหารสำเร็จรูปในสหรัฐฯ เพิ่ม ภาษี 0 %ข้าวโพด กากถั่วเหลือง ต้นทุนลดฮวบ
CPF รับมือภาษี 19 % เล็งลงทุนธุรกิจอาหารสำเร็จรูปในสหรัฐฯเพิ่ม ข้อตกลงนำเข้าข้าวโพด-กากถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ หนุนลดต้นทุนอาหารสัตว์ เสริมศักยภาพส่งออกไก่ไทย หวั่นผลกระทบหมูนำเข้าเรื่องสารเร่งเนื้อแดง
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) กล่าวในงานเสวนา “Trump’s Tariffs ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 ส.ค.2568
สำหรับ CPF เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนทางการค้าและข้อตกลงใหม่นี้ ได้วางแผนธุรกิจและกลยุทธ์ที่สำคัญ โดยมุ่งเน้นการสร้างความคล่องตัวและกระจายแหล่งรายได้และพอร์ตธุรกิจไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เพื่อลดความเสี่ยงจากนโยบายการค้าที่ไม่แน่นอน
รวมถึงมุ่งผลิตในท้องถิ่น ขายในท้องถิ่น หรือใช้กลยุทธ์ผลิตสินค้าในแต่ละประเทศเพื่อขายในประเทศนั้นๆ ให้มากขึ้น ยกเว้นประเทศไทยและเวียดนามที่ยังคงเป็นศูนย์กลางการพัฒนาและนวัตกรรมเพื่อการส่งออก
นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนในอนาคตที่จะลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐฯ จากเดิมที่มีโรงงานอาหารสำเร็จรูป (พร้อมทาน) หลังได้ลงทุนไปแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท
“ขณะนี้ CPF อยู่ระหว่างการพิจารณาแผนการลงทุนเพิ่มเติมในด้านอื่นๆ เนื่องจากสหรัฐฯได้อัตราภาษีส่งออก 0% ไปยังหลายประเทศ ทำให้ตลาดสหรัฐฯน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง”
ขณะเดียวกัน นายประสิทธิ์กล่าวว่า ต้องมีการปรับสายการผลิต สำหรับสินค้าบางประเภทที่เคยส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯเช่น เกี๊ยวกุ้ง อาจต้องย้ายฐานการผลิตไปในสหรัฐฯ แทน ทำให้ต้องมีการลงทุนในสายการผลิตใหม่ รวมถึงยังมีแผนจะลงทุนเพิ่มในสายการผลิตข้าวกล่องและพิซซ่าในประเทศไทย
นอกจากนี้บริษัทฯยังมุ่งเดินหน้าการใช้เทคโนโลยีด้านวิศวกรรมและปัญญาประดิษฐ์(AI) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และวิเคราะห์ข้อมูลในกระบวนการผลิตอาหารสัตว์และการเลี้ยงสัตว์
“ในเร็วๆ นี้ CPFจะจัดตั้งทีมนำเข้าจากสหรัฐฯ เข้ามาในเครือข่ายของบริษัท ซึ่งเป็นโอกาสเมื่อไทยเปิดนำเข้าจากสหรัฐฯ 0% โดยเฉพาะสินค้าเกษตรหลายตัว อาทิ ผลไม้ฤดูหนาว”
นายประสิทธิ์ มีมุมมองต่อกรณีไทยปิดดีลภาษีกับสหรัฐฯในอัตรา 19 % แลกกับการที่ไทยจะเปิดนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯเพิ่มขึ้น อาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และกากข้าวโพด (DDGs) นั้นมีแนวโน้มที่จะทำให้ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ลดลงอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับแหล่งที่ใช้ในปัจจุบัน
ผลดีที่ตามมาคือ ช่วยลดต้นทุนผลิตอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมปศุสัตว์ของไทย ส่วนต่างราคาข้าวโพดอาจอยู่ที่ประมาณ 1-2 บาทต่อกิโลกรัมเมื่อรวมค่าขนส่งแล้ว
โดยคาดว่าประเทศไทยจะประหยัดต้นทุนได้กว่า 6,000 ล้านบาท จากการนำเข้าข้าวโพด 3 ล้านตัน และกว่า 3,000 ล้านบาท จากการนำเข้ากากถั่วเหลืองมูลค่าราว 48,000 ล้านบาท ถือว่าสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาล
นอกจากนี้ ข้าวโพดและกากถั่วเหลืองจากสหรัฐฯไม่มีการเผาป่า ซึ่งแตกต่างจากแหล่งนำเข้าเดิม เช่น เมียนมา และบราซิล ดังนั้นการนำเข้าจากสหรัฐฯจะช่วยให้ประเทศไทยได้แต้มคาร์บอนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมหาศาล
นายประสิทธิ์ กล่าวว่าจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ของไทย โดยเฉพาะไก่แปรรูป ซึ่งไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 3 ของโลกโดยมีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท ถึง 1.5 แสนล้านบาทต่อปี และมีมาตรฐานคุณภาพระดับเดียวกับยุโรป
ทั้งนี้ข้อเสนอการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็นข้อเสนอที่ทำให้สหรัฐฯพึงพอใจอย่างมาก และมีผลตอบรับที่ดีในการเจรจาภาษี เนื่องจากสหรัฐต้องการขายกากถั่วเหลืองที่เหลือจำนวนมาก เมื่อจีนยกเลิกการสั่งซื้อจากสหรัฐกว่า 22 ล้านตัน และหันไปซื้อจากบราซิลแทน
ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยยังคงใช้มาตรการปกป้องเกษตรกรในประเทศ โดยกำหนดเงื่อนไข คือ ผู้ประกอบการต้องซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน จึงจะสามารถนำเข้าข้าวโพดจากต่างประเทศได้ 1 ส่วน
นอกจากนี้เงื่อนไขดังกล่าวใช้ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวของไทย ส่วนนอกฤดูกาลจะสามารถนำเข้าจากสหรัฐฯได้มากขึ้น
ส่วนข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ที่ไทยจะต้องมีการนำเข้าเนื้อสุกรเป็นประเด็นที่อุตสาหกรรมมีความกังวลอย่างมาก แม้ยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจน และเบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ที่ 1% ของปริมาณสุกรทั้งหมด หรือประมาณ 10,000 ตัน
ขณะที่ประเทศไทยมีนโยบายควบคุมและห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดง (Ractopamine) มากว่า 30 ปี ส่วนสหรัฐฯ อนุญาตตามมาตรฐาน Codex ดังนั้นหากมีการอนุญาตให้นำเข้าเนื้อสุกรที่อาจมีการใช้สารเร่งเนื้อแดงจากสหรัฐฯมองว่าจะควบคุมยากและอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภคในประเทศ
นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าการอนุญาตให้นำเข้าอย่างเป็นระบบ อาจเปิดช่องให้มีการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรเถื่อนเพิ่มขึ้นอีก
ปัจจุบันอุตสาหกรรมสุกรของไทยมีมูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท ดังนั้นการนำเข้าจากต่างประเทศจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเกษตรกรรายย่อยและเสถียรภาพของอุตสาหกรรม
แม้แต่ CPFเองก็เลี้ยงสุกรผ่านเกษตรกรคู่สัญญาถึง 95% ซึ่งการควบคุมมาตรฐานจะทำได้ยากขึ้นหากมีสารเร่งเนื้อแดงเข้ามา
นายประสิทธิ์กล่าวว่าปัจจุบัน CPFไม่มีฟาร์มหมูหรือไก่ในสหรัฐฯ หลังได้ขายฟาร์มปศุสัตว์ในสหรัฐฯออกไปแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน เนื่องจากคุณภาพไม่ดีและไม่คุ้มค่ากับการยกระดับ
สำหรับข้อตกลงเรื่องการค้ากับสหรัฐฯเรื่องการนำเข้าสินค้าเกษตรบางชนิดมากเกินไปอาจส่งผลกระทบให้มีการเลิกผลิตในประเทศและอาจส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศได้