บพท. หนุนวิจัยแก้วิกฤตชายแดน จัดงบเร็ว - แม่นยำ รับปัญหาพื้นที่
ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ บพท.อยู่ระหว่างการถอดบทเรียนสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา เพื่อจัดทำแนวทางปรับปรุงกลไกภาครัฐและการบริหารงบประมาณในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพ พร้อมจัดทำเป็นแผนปฏิบัติสำหรับหน่วยงานภาครัฐใช้เป็นคู่มือรองรับภัยในอนาคต
ดร.กิตติ ระบุว่า ในเหตุการณ์ความขัดแย้งชายแดนที่ผ่านมา พบข้อจำกัดด้านการบริหารงบประมาณ โดยบางพื้นที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ เนื่องจากไม่ได้ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ เช่น การสร้างบังเกอร์ต้องใช้การช่วยเหลือกันเอง บพท.จึงเตรียมนำองค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยในพื้นที่มาวางแผนจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การช่วยเหลือในอนาคตมีประสิทธิภาพและไม่สะดุด
นอกจากนี้ บพท.ได้หารือกับปลัดกระทรวง อว. เพื่อบูรณาการกระทรวง อว. เข้าสู่กลไกการบริหารภัยพิบัติแห่งชาติ นำองค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยมาบริหารจัดการทั้งด้านงบประมาณ งานวิจัย การจัดทำหลักสูตรรับมือภัย และการวางนโยบายจนถึงระดับปฏิบัติการ เพื่อลดความสูญเสียและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
สำหรับการรับมือสถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา บพท.ร่วมกับมหาวิทยาลัยในพื้นที่จัดทำฐานข้อมูลและแผนที่เสี่ยงภัย ส่งต่อให้หน่วยงานรัฐเข้าช่วยเหลือได้ตรงจุด รวมถึงพบข้อมูลใหม่ว่าพื้นที่ประสบภัยซ้ำซากมักเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อย ซึ่งบางส่วนไม่ได้รับความช่วยเหลือ จึงได้ส่งข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมผลักดันโมเดลแก้จนผ่านการสร้างอาชีพ การปลูกพืชเหมาะสม และการปรับโครงสร้างพื้นฐานให้ปลอดภัยจากความเสี่ยงเดิม
ตัวอย่างความสำเร็จด้านเทคโนโลยีรับมือภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ได้พัฒนา “เรือกู้ภัยอัจฉริยะ” จากวัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบา กันจม ขนาด 2.90 x 1.10 เมตร รับน้ำหนักได้สูงสุด 290 กิโลกรัม ติดตั้งโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่สำรองไฟ 7.5 ชั่วโมง เราเตอร์ 4G กล้องความละเอียดสูง ไฟแอลอีดี และสปอร์ตไลท์ 120 วัตต์ 4 ดวง เรือรุ่นนี้ถูกใช้จริงในเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2566 และอีกหลายพื้นที่
โดยล่าสุดในงาน “อว.แฟร์” ปีนี้ บพท.ได้ส่งมอบเรือกู้ภัยอัจฉริยะจำนวน 6 ลำ ให้มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เพื่อนำไปใช้ในพื้นที่เสี่ยงภัย ครอบคลุมจังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา นครพนม เชียงราย พิษณุโลก และน่าน เพื่อรองรับภัยพิบัติด้านน้ำที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่มากขึ้น