ธปท.เผย Q2/68 สินเชื่อรวมยังติดลบ จากภาคเอสเอ็มอี-อุปโภคบริโภค มองแนวโน้ม Q3 ยังหดตัวต่อ
ธปท.เผย Q2/68 สินเชื่อรวมยังติดลบ จากภาคเอสเอ็มอี-อุปโภคบริโภค มองแนวโน้ม Q3 ยังหดตัวต่อ
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -19 ส.ค. 68 15:13 น.
ธปท. เผยระบบธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 2/68 ยังมีเสถียรภาพ แต่ต้องติดตามภาวะการเงินตึงตัว ความสามารถในการชำระหนี้ภาคครัวเรือน-ธุรกิจ แย้มแนวโน้มปล่อยสินเชื่อ Q3/68 ยังติดลบต่อ ด้านแบงก์เปิดสมัครใจลาออก เป็นเรื่องการปรับตัว
นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 2/68 โดยระบบธนาคารพาณิชย์มีเสถียรภาพ แต่ยังต้องติดตามภาวะการเงินโดยรวมที่ยังตึงตัวและความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง รวมถึงธุรกิจและครัวเรือนที่อาจได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมต่อฐานะทางการเงินจากผลกระทบมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ และยังต้องติดตามผลของการให้ความช่วยเหลือภายใต้โครงการคุณสู้ เราช่วย
ผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ยังปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยหลักจากรายได้เงินปันผลตามปัจจัยฤดูกาล ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองปรับเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากผลกระทบนโยบายการค้าโลก ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับลดลงตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและปริมาณสินเชื่อที่ลดลง รวมทั้งจากมาตรการคุณสู้ เราช่วย ที่ลดดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้นางสาวสุวรรณี กล่าว
ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/68 สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ โดยรวมยังหดตัวต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ชะลอลงมาอยู่ที่ติดลบ 0.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี และสินเชื่ออุปโภคบริโภคหดตัวต่อเนื่อง ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง
สำหรับสินเชื่อรถยนต์ เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกจากยอดขายรถยนต์ และเริ่มเห็นสัญญาณรถยึดลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสแรก ทำให้ดัชนีราคารถยนต์มือ 2 มีเสถียรภาพมากขึ้นเมื่อเทียบกับ 1-2 ปีที่ผ่านมา ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลหดตัวเล็กน้อย 0.2% จากส่วนที่ได้มีการปล่อยกู้ไปมากในช่วงก่อนหน้า ที่ขยายตัวค่อนข้างสูง
แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อ มองว่า โดยรวมบังชะลอตัวเพราะอยู่ในช่วง Deleverage จากภาระหนี้สูง ส่วนหนึ่งจากมาตรการช่วยเหลือช่วงโควิด ขณะเดียวกันสถาบันการเงินยังมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ดังนั้นจึงมองว่า สินเชื่ออาจไม่ได้กลับมาขยายตัวได้ในไตรมาสถัดไป หรือยังคงติดลบในไตรมาส 3/68นางสาวสุวรรณี กล่าว
ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 554.9 พันล้านบาท โดยหลักมาจากสินเชื่อธุรกิจ ขณะที่ปริมาณ NPL ของสินเชื่ออุปโภคบริโภคปรับลดลงทุกประเภท ส่งผลให้สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมทรงตัวอยู่ที่ 2.91% สำหรับสินเชื่อ Stage 2 ปรับลดลงเกือบทุกพอร์ต โดยหลักเป็นการจัดชั้นดีขึ้นของลูกหนี้ที่สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้สัดส่วน Stage 2 ลดลงมาอยู่ที่ 6.88%
สำหรับแนวโน้ม NPL ในระยะข้างหน้า อาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยมาตรการที่ธปท.ช่วย ลูกหนี้บ้าน รถ และบัตรต่างๆ ยังมีมาตรการคุณสู้เราช่วย และหลังจากนี้จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ได้มีการหารือ และระดมความเห็นว่าจะมีเรื่องอะไรที่จะสนับสนุนภาคธุรกิจ โดยเฉพาะเอสเอ็มอีเพื่อปรับตัว และเปลี่ยนผ่านจากสถานการณ์ในระยะข้างหน้าได้ ขณะที่มาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่ออกมาชัดเจน ถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่เชื่อว่าภาคธุรกิจจำเป็นต้องมีการปรับตัวด้วยนางสาวสุวรรณี กล่าว
สำหรับสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ไตรมาส 1/68 ปรับลดลงจากไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ 87.4% จากสินเชื่อครัวเรือนที่ขยายตัวชะลอลงเป็นสำคัญ และไตรมาส 2/68 อาจปรับลดลงเล็กน้อย หรืออยู่ที่ประมาณ 87% ขณะที่ธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อจีดีพี ลดลงตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ด้านการก่อหนี้ทรงตัว ส่วนความสามารถในการทำกำไรโดยรวมลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ภาคการผลิตปรับดีขึ้นจากการเร่งผลิตเพื่อส่งออก แต่ภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการอื่นๆ เผชิญแรงกดดันจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงและกำลังซื้อที่ชะลอลง ในตลาดที่อยู่อาศัย
ด้านความคืบหน้าของการปรับโครงสร้างหนี้ ปัจจุบันมีจำนวนบัญชีที่ได้รับความช่วยเหลือสะสม 2.54 ล้านบัญชี เป็นยอดภะหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือสะสม 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อส่วนบุคคล
ส่วน AMC ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือร่วมกันกับกระทรวงการคลัง โดยกลุ่มที่เป็นลูกหนี้ของ non bank เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงว่าจะดำเนินการอย่างไร อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา การให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์นั้น จะต้องดำเนินการภายใต้ การให้สินเชื่อรับผิดชอบ ดังนั้นเมื่อมีปัญหา สถาบันการเงินจะต้องให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ก่อน ดังนั้น การขายหนี้จะต้องผ่านกระบวนการดังกล่าวก่อน
นางสาวสุวรรณี กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยจีดีพีไทยไตรมาส 2/68 ว่า ต่ำกว่า ที่ธปท.คาดการณ์เล็กน้อย โดยมาจากภาคบริการขยายตัวต่ำกว่าที่คาด และอุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
ส่วนสถานการณ์ที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ เปิดลาออกโดยสมัครใจนั้น มองเป็นรอบของแต่ละองค์กร โดยหลักสถาบันการเงินจะต้องมีการปรับตัว และปรับต้นทุน เพราะการแข่งขันสูงในระยะข้างหน้า โดยการเข้ามาของ Virtual bank ซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำกว่า จึงเป็นภาพที่ธุรกิจมีการปรับตัว
ขณะที่ด้านการปรับ Min pay อยู่ระหว่างการหารือกับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งหากได้ผลการพิจารณาแล้วจะแจ้งให้ทราบต่อไปในระยะข้างหน้า
เรียบเรียง โดย ภัทราภรณ์ เกียรตินันท์
อีเมล์. pattraporn@efinancethai.comอนุมัติ โดย จารุวรรณ เอี่ยมยิ่งพานิช
ดูข่าวต้นฉบับ