กทม. เตรียม PPP ดึงเอกชนร่วมทุนต่อขยาย 'รถไฟฟ้าสายสีเขียว' 6 สถานี
นายกษิดิ วิชิตอักษรพงศ์ ผู้จัดการโครงการศึกษาและวิเคราะห์ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานครส่วนต่อขยายสายสีลม ตอนที่ 3 (ช่วงบางหว้า-ตลิ่งชัน) เปิดเผยว่า วันนี้ (19 ส.ค.) สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร ได้จัดการประชุมสัมมนาประชาสัมพันธ์โครงการ และรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนในโครงการดังกล่าว เพื่อนำเสนอข้อมูลสาระสำคัญของโครงการ วัตถุประสงค์และขอบเขตรูปแบบการร่วมลงทุน พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาโครงการ
สำหรับโครงการดังกล่าว ที่ผ่านมาสำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร ได้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสม ทั้งด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสาร การวิเคราะห์ผลตอบแทนด้านเศรษฐศาสตร์และการเงิน ตลอดจนรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมเสร็จแล้วในปี 2559 แต่เนื่องจากการลงทุนต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก หากเป็นการลงทุนจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวนั้น จะไม่สามารถระดมเงินทุนได้เพียงพอ เพราะต้องคำนึงถึงเสถียรภาพการคลังของประเทศ
ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครจึงมีแนวคิดการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐกับเอกชน (PPP) ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาและวิเคราะห์โครงการดังกล่าว โดยภายหลังเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้ จะมีการจัดประชุมรับฟังความเห็นนักลงทุนในช่วงเดือน ต.ค. - พ.ย.นี้ และรวบรวมข้อมูลผลการศึกษารูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม
สำหรับกรอบการดำเนินงาน ที่ปรึกษาจะเร่งศึกษาและจัดทำรายงานร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2569 และเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอมติอนุมัติโครงการ ในปี 2570 โดยดำเนินการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน ในปี 2570 -2571 และดำเนินก่อสร้างโครงการระหว่าง ปี 2572 – 2575 และพร้อมเปิดให้บริการในปี 2575 – 2576
“รูปแบบการเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนนั้น โครงการรถไฟฟ้าทั่วไปจะศึกษาสัมปทานประมาณ 25-30 ปี แต่โครงการนี้อาจต้องศึกษาถึง 40 - 50 ปี เพื่อดูความคุ้มค่า เนื่องจากผลตอบแทนโครงการอาจไม่สูงมากนัก อาจไม่จูงใจเอกชน ดังนั้นโครงการนี้จะทำการศึกษาความเหมาะสมของสัญญาสัมปทานครอบคลุมหลายรูปแบบ และศึกษาในระยะเวลาตั้งแต่ 25 – 50 ปี ซึ่งจะรับฟังความเห็นของเอกชนเพื่อประเมินความเหมาะสมด้วย”
สำหรับผลการศึกษาความคุ้มค่าทางการลงทุนก่อนหน้านี้ ผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ (Economic IRR) สูงกว่า 20% ซึ่งถือว่าสูงมาก บ่งชี้ว่าโครงการมีประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม เช่น ประหยัดเวลาเดินทาง และลดมลพิษ ส่วนผลตอบแทนทางการเงิน (Financial IRR) พบว่า 25 ปี อยู่ที่ 0.11% และ 40 ปี อยู่ที่ 4.36% ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่เอกชนทั่วไปคาดหวัง IRR ประมาณ 9 - 10% ดังนั้นหากผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ดี แต่ผลตอบแทนทางการเงินไม่จูงใจ การทำโครงการนี้เอกชนอาจต้องได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐ เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการต่อไปได้
นายกษิดิ กล่าวด้วยว่า ผลการศึกษาก่อนหน้านี้ได้คาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารในปีแรกที่เปิดให้บริการอยู่ที่ราว 6 หมื่นคนต่อวัน และสูงสุดอยู่ที่กว่า 1.2 แสนคนต่อวัน ซึ่งขณะนี้จำเป็นต้องศึกษาปริมาณผู้โดยสารใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมไปถึงศึกษาในกรณีที่อัตราค่าโดยสาร 20 บาทตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งจะส่งผลต่อปริมาณผู้โดยสารด้วย
สำหรับโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานครส่วนต่อขยายสายสีลม ตอนที่ 3 ช่วงบางหว้า – ตลิ่งชัน จากผลการศึกษาก่อนหน้านี้ประเมินวงเงินลงทุนไว้กว่า 1.4 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย ค่าก่อสร้างงานโยธา สถาปัตยกรรม และค่าเตรียมการก่อนเปิดให้บริการ วงเงิน 11,050 ล้านบาท ค่าติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม ประมาณ 3,019 ล้านบาท และค่าบริหารทางวิศวกรรม 734 ล้านบาท
โดยโครงการนี้นับเป็นส่วนหนึ่งในแผนการพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล (พื้นที่ต่อเนื่อง) ระยะที่ 2 หรือ M-MAP 2 เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรบนถนนเพชรเกษม และถนนราชพฤกษ์ อีกทั้งรองรับการขยายตัวของเมือง โดยเฉพาะในพื้นที่ฝั่งธนบุรี
สำหรับโครงการมีจุดเริ่มต้นที่จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้า BTS บริเวณสถานีบางหว้า แนวเส้นทางจะวิ่งไปทางทิศเหนือ ตามแนวเกาะกลางถนนราชพฤกษ์ ผ่านทางแยกตัดถนนบางแวก ผ่านทางแยกถนนพรานนก-พุทธมณฑล สาย 4 จากนั้นจะยกระดับข้ามทางแยกถนนบรมราชชนนี และทางด่วนสายกาญจนาภิเษก และมาสิ้นสุดโครงการที่บริเวณทางลาดลงของสะพานข้ามทางรถไฟสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ – ตลิ่งชัน ระยะทางรวมประมาณ 7.5 กิโลเมตร รวมจำนวน 6 สถานี ได้แก่ สถานีบางแวก สถานีบางเชือกหนัง สถานีบางพรม สถานีอินทราวาส สถานีบรมราชชนนี และสถานีตลิ่งชัน