1O บทเรียนที่เปลี่ยนวิธีมองเงินไปตลอดกาล
ใช้แรงทำเงิน& ให้เงินทำงาน กดSubscribe รอเลย…
Youtube | Facebook | TikTok | Instagram | Line
เคยรู้สึกหรือไม่ “ทำไมเรารู้จักวิธีคำนวณดอกเบี้ย ดูกราฟการลงทุนเป็น แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ กลับใช้เงินไม่เป็น” หรืออาจจะใช้เงินเป็น แต่กลับรู้สึกไม่มั่นคงทางการเงิน
หนังสือ The Psychology of Money เขียนโดย Morgan Housel ไม่ได้มาแนะนำการจัดพอร์ตลงทุนหุ้น หรือเทคนิคการเลือกสินทรัพย์ลงทุน แต่จะพาไปดูใจคนเวลาเจอเงินว่า “ทำไมบางครั้ง บางคนถึงใช้เงินแบบที่ตัวเองก็รู้ว่าไม่ค่อยเหมาะ?” คำถาม คือ จะทำอย่างไรเพื่อให้การใช้เงินมีความเหมาะสมมากขึ้น
ทำไมพฤติกรรมถึงสำคัญกว่าความเก่ง
ผู้เขียนบอกตรงๆ ว่า การจะรวยหรือมีความมั่นคงทางการเงิน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราเก่งแค่ไหน หรือจำสูตรได้กี่สูตร แต่ขึ้นอยู่กับว่าสามารถควบคุมอารมณ์และนิสัยตัวเองได้มากแค่ไหน เช่น เวลาเห็นเพื่อน 2 คนตัดสินใจเรื่องเงินต่างกัน อาจคิดว่าคนหนึ่งเก่งกว่า แต่จริงๆ อาจจะเป็นเพราะประสบการณ์ชีวิตต่างกัน หรือสิ่งที่แต่ละให้ความสำคัญต่างกัน
10 บทเรียนที่เปลี่ยนวิธีมองเงินของตัวเองไปตลอดกาล
1. จริงๆ แล้วไม่มีใคร “บ้า” เรื่องเงิน
สมมติว่ามีเพื่อนชอบเก็บเงินสด ไม่ยอมเอาไปลงทุน ตอนแรกคิดว่าเขาระแวงเกินไป แต่พอได้คุยถึงรู้ว่าพ่อแม่เขาเคยล้มละลาย และเขาเคยเห็นครอบครัวลำบากเพราะเอาเงินไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง แปลว่าทุกการตัดสินใจเรื่องเงินล้วนมีเหตุผล แม้ว่าจะดูไม่สมเหตุสมผลสำหรับคนอื่นก็ตาม ผู้ที่เคยเจอวิกฤตการเงินก็จะระมัดระวังมากกว่า ส่วนผู้ที่เติบโตมากับความมั่งคั่งก็อาจจะกล้าเสี่ยงมากกว่า
2. โชคและความเสี่ยง คือ เพื่อนคู่กันตลอดกาล
บางครั้งเราทำทุกอย่างถูกต้อง แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นใจ เช่น คนแรกลงทุนหุ้น A ในช่วงการแพร่ระบาดเชื้อโควิด กับคนที่ 2 ลงทุนหุ้น A หลังการแพร่ระบาดก็จะได้ราคาแตกต่างกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าใครตัดสินใจเก่งกว่ากัน ตัวอย่างนี้จะบอกว่าการลงทุนมีทั้งโชคและความเสี่ยง เพราะความสำเร็จและความล้มเหลวทางการเงินจะได้รับอิทธิพลจากโชคและปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ยาก
3. “พอ คือ พอ” คำง่ายๆ ที่ยากจะทำ
ปัจจุบันกำลังอยู่ในยุคที่มีต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ รายได้ต้องเพิ่ม ทรัพย์สินต้องมากขึ้น แต่จริงๆ แล้วเราต้องการแค่ไหนถึงจะพอใจกันแน่ อาจแปลได้ว่าความโลภ คือ ศัตรูของความมั่นคง หลายคนที่มีเงินเยอะแล้วแต่ยังอยากได้มากกว่านี้ จนนำไปลงทุนเสี่ยงมากขึ้น สุดท้ายกลับสูญเสียทุกอย่าง ดังนั้น ถ้ากำหนดขอบเขตของความต้องการก็จะเหมือนการสร้างเกราะป้องกันตัวเองจากความโลภ
4. พลังแห่งการทบต้น ที่เกิดจากความอดทน
ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างเรื่องของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วปล่อยให้เวลาทำงานแทนยาวนานกว่า 70 ปี ผลลัพธ์ คือ ความมั่งคั่ง นี่คือเหตุผลว่าทำไมควรเริ่มลงทุนเร็วๆ เพราะยิ่งเริ่มต้นลงทุนเร็ว มีเวลาลงทุนนาน ดอกเบี้ยทบต้นก็จะยิ่งทวีคูณ
5. “สร้างเงินกับรักษาเงิน” คือคนละเรื่อง
การจะสร้างเงินให้ได้เยอะๆ ต้องมีความกล้า กล้าเสี่ยง กล้าลองสิ่งใหม่ แต่เมื่อสร้างเงินได้แล้ว การจะรักษาไว้กลับต้องใช้ความระมัดระวัง ต้องลดอีโก้ลง และต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรชะลอ ซึ่งผู้ที่มีความมั่งคั่งยั่งยืนจะรู้จักจังหวะ รู้ว่าช่วงไหนควรเร่งและช่วงไหนควรหยุดเพื่อปกป้องความมั่งคั่งที่สร้างมา
6. “รวยกับมั่งคั่ง” แตกต่างกัน
ความร่ำรวย คือการมีรายได้สูง จากนั้นก็จะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่ความมั่งคั่ง คือการมีทรัพย์สินและการลงทุนที่เหมาะสม มีวินัย ดังนั้น การเข้าใจความแตกต่างนี้ทำให้มุ่งสร้างความมั่นคงจริงๆ แทนการใช้จ่ายเพื่อภาพลักษณ์
7. ออมก่อนที่จะรู้ว่าจะเอาไปทำอะไร
บางคนอาจถามว่า “ออมเงินทำไม ถ้าไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร” แต่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้บอกว่า การออม คือ การซื้อ “ทางเลือกในอนาคต” ไม่ว่าจะเป็นโอกาสลงทุนที่ดี มีเงินให้ลูกเรียนสูงๆ มีเงินไปท่องเที่ยว หรือการรับมือกับเหตุฉุกเฉิน พูดง่ายๆ เมื่อมีเงินออมและถ้ามีโอกาสดีๆ เกิดขึ้น ก็พร้อมที่จะคว้าโอกาสนั้นได้ทันที โดยไม่ต้องไปกู้เงิน
8. ควบคุมเวลา คือความหรูหราที่แท้จริง
หลายคนอาจคิดว่าความหรูหรา คือ ของแพงๆ แต่ความจริงแล้วความหรูหราที่แท้จริง คือ การเลือกใช้เวลาในแบบที่เราต้องการ เช่น การได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว การได้ทำงานที่เรารัก การได้พักผ่อนอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน นี่คือความสุขที่เงินช่วยซื้อให้เราได้
9. เลือกพอประมาณ ดีกว่าผลลัพธ์ทางตัวเลข
การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดอาจทำให้เครียดจนนอนไม่หลับ กังวลว่าเงินจะสูญหายไป ในกรณีนี้การเลือกลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเหมาะสมและเพียงพอ แต่ทำให้นอนหลับสบายจะยั่งยืนกว่า เพราะเงินไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราอยู่ในโลกนี้ได้อย่างสบายใจ
10. เผื่อพื้นที่ให้ความผิดพลาด
ไม่มีความแน่นอน ไม่มีใครรู้อนาคต ดังนั้น การวางแผนการเงินที่มีกันชน เช่น เงินสำรองฉุกเฉิน การกระจายความเสี่ยง จะช่วยให้อยู่ในเกมได้นานพอที่จะให้พลังของดอกเบี้ยทบต้นทำงาน
วิธีนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน
หนังสือ The Psychology of Money ไม่ได้เขียนแค่ในเชิงทฤษฎี แต่บอกด้วยว่าเราจะเอาไปใช้จริงอย่างไร
เริ่มจากการโฟกัสแค่สิ่งที่เราควบคุมได้ เช่น เก็บออมเท่าไร การจัดสรรเงินลงทุน และการใช้จ่าย โดยไม่ต้องไปพยายามคาดเดาตลาดทุกวัน
นอกจากนี้ควรใช้เวลาเป็นเพื่อนด้วยการลงทุนระยะยาว ปล่อยให้พลังดอกเบี้ยทบต้นทำงาน อย่าเข้าออกตลาดบ่อยๆ จนเสียค่าธรรมเนียมตลอดเวลา
ที่สำคัญต้องสร้างเงินสำรองฉุกเฉิน 3-6 เดือนของค่าใช้จ่าย หยุด Lifestyle Inflation ที่ทำให้ใช้เงินตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น เมื่อรายได้เพิ่ม ไม่จำเป็นต้องเพิ่มรายจ่ายทันที เก็บส่วนต่างมาลงทุนหรือออมก่อน แยกอีโก้ออกจากการตัดสินใจ อย่าลงทุนเพื่อพิสูจน์ว่าเราถูกหรือเก่งกว่าใคร แต่ให้ตัดสินใจตามข้อมูลและเป้าหมายที่แท้จริง
ยอมรับความผิดพลาด อย่าลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอน เตรียมใจไว้และพร้อมปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์
“เงิน คือศิลปะของการใช้ชีวิต” การจัดการเงินไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่คือศิลปะของการเข้าใจตัวเอง การรู้ว่าเราต้องการอะไร กลัวอะไร และยอมยกเว้นได้แค่ไหน ถ้ามีความอดทน ถ่อมตัว และรู้จักพอ ไม่เพียงแต่รวยขึ้นแต่ยังมั่งคั่งในความหมายที่แท้จริง มีเวลา มีอิสระ และมีความสุขในแบบของตัวเอง ที่น่าสนใจคือ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้สัญญาว่าจะทำให้เราร่ำรวยชั่วข้ามคืน แต่จะช่วยให้เข้าใจตัวเองและเงินมากขึ้น แล้วก็จะสามารถใช้ชีวิตได้มั่นคงและมีความสุขมากขึ้น