‘พรรคส้ม’อ้างหลายเหตุผล ชี้ยังไม่เหมาะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ
‘พรรคประชาชน’ ปัดค้านสังฆกรรมร่วมยื่น ‘ซักฟอกไม่ไว้วางใจ’ สารพัดอ้างมีอีกหลายทางเลือกตรวจสอบ-รอไทม์มิ่งแม่นยำ - ดูเรื่องคดีนายกฯในศาลฯ หวั่น ‘บางกลุ่ม’ ฉวยโอกาสเรียกกระบวนการนอก รธน.เข้ามา เหน็บ ‘แกนนำม็อบอนุสาวรีย์ชัยฯ’ หน้าเดิมๆ เคยชุมนุมโยงนำไปสู่ ‘รัฐประหาร’ ในอดีต แม้ไม่ได้เรียกร้อง แต่ก็ไม่ชัดว่าค้าน
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์กรณีการหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ว่า ตอนนี้มี 2 นัดหมาย คือ 1.การประชุมวิปฝ่ายค้าน ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 2 ก.ค. และ2.การประชุมระหว่างหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 3 ก.ค. ขอให้ติดตามรอฟังรายละเอียดในการหารือ ส่วนการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีนั้น ตนคิดว่าเป็นหัวข้อที่ต้องคุยกันอยู่เเล้ว ซึ่งก็ยังมีอีกหลายทางเลือกที่เราจะสามารถใช้กลไกสภาในการตรวจสอบฝั่งรัฐบาล
“ขอยืนยันอีกหนึ่งครั้งว่า เราไม่ได้เห็นต่าง หรือคัดค้านการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่จังหวะในการยื่น จะยื่นอย่างไรให้มีความแม่นยำมากที่สุด ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ต้องประเมินให้เห็นตรงกันระหว่างพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกันเอง เนื่องจากในวันที่ 1 ก.ค.นี้ ก็ต้องรอฟังความชัดเจนเรื่องคดีของนายกรัฐมนตรี ว่าตกลงแล้วศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ซึ่งก็ทำให้เกิดความไม่แน่นอน” ผู้นำฝ่ายค้านฯ ระบุ
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า เรายืนยันว่า เราอยากเห็นรัฐบาลชุดใหม่ที่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ สามารถทำได้ หนึ่งครั้งต่อหนึ่งปีสมัยประชุม หากเรายื่นตั้งแต่ตอนนี้ เท่ากับว่าถ้าจะมีการยื่นอีกครั้ง ต้องรอในช่วงเดือนก.ค.ปีหน้า
เมื่อถามว่า หากยื่นช้าไปอาจจะไม่ทัน ถ้าเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่สามารถคิดได้ในมุมกลับ ว่าถ้ายื่นญัตติต่อนายกรัฐมนตรีไป แล้วเกิดอุบัติเหตุการเมืองต่อตัวนายกรัฐมนตรีขึ้นมา เราก็ไม่สามารถตอบได้ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในการตีความว่า การยื่นจะเสียของหรือไม่ เพราะฉะนั้น ต้องประเมินสถานการณ์อีกสักหน่อย รอความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญ และอีกหลายๆ เรื่อง ถึงเวลาค่อยยืนอย่างแม่นยำ ซึ่งไม่ได้ทำให้เสียเวลาแต่อย่างใด
เมื่อถามถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ วาระ 2-3 ในช่วงเดือนส.ค.นี้ จะกลายเป็นอุปสรรคที่ส่งผลถึงนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หากลงมติแล้วเสียงไม่ผ่าน นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เรื่องงบประมาณก็เป็นกฎหมายที่สำคัญ แต่เชื่อว่าในบรรดาทุกกฎหมายต่อจากนี้ ที่รัฐบาลจะผลักดัน ตราบใดที่ยังเป็นรัฐบาลเสี่ยงปริ่มน้ำอยู่แบบนี้ ก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองได้ตลอดเวลา เพราะบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลจะสามารถออกมาส่งเสียงเรียกร้องเรื่องต่างๆ ได้ทุกครั้ง เพราะเสียงรัฐบาลปริ่มน้ำมีมากกว่าฝ่ายค้านเพียงแค่ 10 กว่าเสียง
เมื่อถามถึงข้อกังวลอาจเกิดรัฐประหารอีกครั้ง นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าการที่กลุ่มผู้ชุมนุมออกมาเรียกร้องโดยบริสุทธิ์ใจ ว่าอยากให้มีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี เพียงแต่วิธีการก็มีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการที่นายกรัฐมนตรีลาออกเอง การใช้นิติสงครามถอดถอน หรือนายกรัฐมนตรีจะยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ รวมถึงช่องทางที่ไม่เป็นไปตามประชาธิปไตยอย่างการปฏิวัติรัฐประหาร แต่สิ่งที่เราเป็นห่วง คืออาจมีความพยายามของคนบางกลุ่มบางก้อน ที่ฉกฉวยสถานการณ์ในตอนนี้ไปเรียกร้องกระบวนการนอกรัฐธรรมนูญ หรือกระบวนการที่ไม่ได้เป็นไปตามประชาธิปไตย แน่นอนที่สุดว่าข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการของกลุ่มมวลชนที่ไปชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ คือเรื่องการให้นายกรัฐมนตรีลาออก และให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล
“แต่แกนนำผู้ชุมนุมหลายคน เราเห็นกันอยู่ว่าเป็นคนหน้าตาเดิมๆ ที่เคยเรียกร้องการชุมนุมต่อต้าน และนำไปสู่การรัฐประหารในอดีต รวมถึงในการพูดบนเวที แม้จะไม่ได้มีการพูดอย่างชัดเจน ว่าจะเรียกร้องให้มีการปฏิวัติรัฐประหาร แต่ก็ยังไม่ชัดเจนเพียงพอว่า ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติรัฐประหาร เป็นเพียงการพูดเปิดช่องว่า หากจะมีการปฏิวัติรัฐประหารไม่ได้อยากเห็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากทหารเท่านั้นเอง” นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ดังนั้น ตนจึงคิดว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ยังทำให้พวกเรามีข้อกังวลว่า การชุมนุมมีวัตถุประสงค์แอบแฝงโดยแกนนำอย่างหนึ่งอย่างได้หรือไม่ ทำให้อีกหนึ่งอย่างที่อยากสื่อสารไปถึงทุกคน คือไม่ว่าเราจะออกไปชุมนุมเรียกร้องช่องทางใดๆ ให้นายกรัฐมนตรีลาออกหรืออะไรก็ตาม เป็นสิทธิที่จะสามารถชุมนุมเรียกร้องได้ แต่ต้องระวังไม่ให้ตัวเราเองถูกกลายเป็นเครื่องไม้เครื่องมือให้คนที่เรียกร้องกระบวนการนอกรัฐธรรมนูญ
เมื่อถามว่าการเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองจากกลายเป็นเข้าทางของฝ่ายกัมพูชาหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้ ในความไร้เสถียรภาพ ความไม่แน่นอน ระหว่างปัญหาไทยและกัมพูชา คือเรื่องที่ขาดความชัดเจน ไม่มีประสิทธิภาพ ในการสื่อสารของรัฐบาล เพราะในการเจรจาหลายครั้ง ฝ่ายกัมพูชาก็มีการออกมาสื่อสารก่อนหน้าเรา อีกเรื่องคือการวางตัวของนายกรัฐมนตรีเอง ที่ตนเคยพูดมาหลายครั้งว่า ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาหน้าบ้านหรือหลังบ้าน หากตัวนายกรัฐมนตรีใช้บทบาทหรือการวางตัวของตัวเอง ในฐานะผู้นำ ต่อผู้นำประเทศ หรือรัฐต่อรัฐ บทสนทนาคงไม่ออกมาเป็นในรูปแบบนี้ แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีใช้ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวต่อครอบครัว บทสนทนาจึงเปลี่ยนไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ที่สามารถทำให้ฝ่ายกัมพูชานำมาใช้ประโยชน์ได้ ในการทำลายล้างฝ่ายไทย
เมื่อถามถึงกรณีโพลที่ออกมา ซึ่งความนิยมของตนเองมีคะแนนนำ แต่นายกรัฐมนตรีรั้งท้าย นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า รู้สึกดีใจและขอบคุณประชาชนทุกคนที่มอบความไว้วางใจให้กับตนและพรรคประชาชนมากยิ่งขึ้น แต่เราไม่ได้ประมาท และเป็นห่วงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ ต้องพูดตามข้อเท็จจริงส่วนหนึ่งว่า คะแนนความนิยมส่วนหนึ่งที่ตกลงของนายกรัฐมนตรี หรือการขาดความเชื่อมั่นต่อตัวนายกรัฐมนตรีนั้น ย่อมส่งผลอีกด้านหนึ่งที่ทำให้คะแนนนิยม ไม่ใช่แค่ของตน แต่รวมไปถึงคะแนนนิยมของตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนอื่นที่อยู่ในโพลเพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน เพราะขาดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลชุดปัจจุบัน
เมื่อถามว่าจะส่งผลต่อเสียงในสนามเลือกตั้งครั้งหน้าด้วยหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ผลโพลมีขึ้นมีลงตลอด ก่อนที่จะถึงสนามเลือกตั้งครั้งหน้า เชื่อว่าการสื่อสารและการปฏิบัติตัวอยู่บนหลักการ รวมถึงการนำเสนอสิ่งต่างๆ ที่เป็นทางออกในการแก้ปัญหา และประโยชน์สูงสุดของประชาชน จะนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งในอนาคต แต่ตั้งแต่วันนี้จนถึงการเลือกตั้ง ผลโพลต่างๆ ไม่ว่าจะของใครที่ขึ้น ถ้าเราละทิ้งหลักการของเรา แล้วเลือกสื่อสารหรือชี้นำสังคมไปในทางใดทางหนึ่ง ที่เอาผลประโยชน์ระยะสั้นของตัวเองเป็นหลัก ก็เชื่อเพราะว่าประชาชนมองออก และไม่ได้หมายความว่า ผลโพลในวันนี้จะนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งในอนาคต
เมื่อถามถึงกรณีที่ชื่อของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาได้ความนิยมอีกครั้งตามผลโพล เป็นสิ่งสะท้อนสถานการณ์การเมืองไทยที่เกิดขึ้นในขณะนี้เร็มไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า การสำรวจผลโพลที่ผ่านมาไม่ได้มีชื่อของพล.อ.ประยุทธ์อยู่ในโพล หากดูตามตัวเลขผิวเผินที่ขึ้นมานั้น เป็นเพราะอยู่ดีๆ ชื่อพล.อ.ประยุทธ์ก็คือเข้ามาอยู่ในโพล แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นอยู่ คะแนนความนิยมของตัวนายกรัฐมนตรีที่ตกลง สะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นของประชาชนส่วนหนึ่ง ที่จะนำมาสู่การอยากเลือกนายกรัฐมนตรีที่มีความเข้มแข็ง ที่มาจากฝ่ายทหาร ซึ่งเราก็ต้องพยายามสื่อสารกับประชาชนทุกกลุ่ม ว่าสิ่งหนึ่งที่เราไม่อยากเห็น คือนายกรัฐมนตรีผู้ที่เคยทำรัฐประหารมาเสียเอง รวมถึงการใช้การเมืองนอกระบบ ฉะนั้น ในสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ จึงอยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายให้ยึดมั่นอยู่บนหลักการ ต้องปฏิเสธการปฏิวัติรัฐประหารให้หนักแน่นที่สุด ไม่ควรจะมีการเปิดช่อง
เมื่อถามว่า หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง จะมีโอกาสที่สภาฯจะใช้โอกาสเลือกนายกรัฐมนตรีคนนอกหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า นี่เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เราไม่อยากเห็นเช่นเดียวกัน คือนายกรัฐมนตรีนอกระบบ ตามมาตรา 5 แต่ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ที่จะไปถึงจุดนั้น พรรคประชาชนจึงพยายามนำเสนอจากการประเมินสถานการณ์ ตัดสินใจอย่างมีวุฒิภาวะ ละเอียดรอบคอบมาก เนื่องจากเรื่องต่างๆ ยังผูก และยึดโยงกัน เช่น การอภิปรายตามมาตรา 151 ก็ยังเป็นสิ่งที่เราพร้อมเดินหน้าอย่างเต็มที่ เพียงแต่ต้องประเมินสถานการณ์ที่ถูกต้องก่อน และในการประชุมช่วงสัปดาห์นี้ระหว่างพรรคร่วมฝ่ายค้าน ก็คงจะได้คำตอบ
เมื่อถามว่าพรรคร่วมฝ่ายค้าน จะมีการเสนอชื่อชิงตำแหน่ง รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า พรรคประชาชนเองคงเสนอไม่ได้ เนื่องจากผูกติดกับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ตามที่รัฐธรรมนูญล็อคไว้ แต่พรรคอื่นๆจะเสนอหรือไม่นั้น ตนก็คิดว่าเป็นสิทธิ์ของแต่ละพรรค
เมื่อถามว่าหากพรรคภูมิใจไทยเสนอ พรรคประชาชนจะโหวตให้หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า คงต้องมีการพูดคุยภายในช่วงสัปดาห์นี้ก่อนว่าจะเป็นอย่างไร เนื่องจากเรื่องนี้ยังมีข้อกังวลใจบางส่วน ว่าหากมีการเสนอชื่อ แล้วพรรคภูมิใจไทยได้ตำแหน่งรองประธานสภาคนที่ 2 ขึ้นมาจริงๆ ทางนิตินัยยังถือว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ แม้ในทางพฤตินัยพรรคภูมิใจไทย จะอยู่ในฝ่ายพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ตาม ซึ่งก็จะส่งผลต่อบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ ที่จะมีการยื่นแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ในการจะต้องนับเสียงของพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วย จึงจะต้องมีการพูดคุยกันอย่างรอบคอบ ว่าตกลงแล้วพรรคภูมิใจไทยจะเสนอยื่นหรือไม่ยื่นอย่างไร