โฆษก กมธ.ทหาร และความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา เรียกร้องให้กองทัพใช้การรุกแบบ”สายฟ้าแลบ” ยึดเมืองชายแดน กัมพูชา ก่อนเจรจา
โฆษก กรรมาธิการทหาร และความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา เรียกร้องให้ กองทัพใช้การรุกแบบ”สายฟ้าแลบ” ยึดเมืองชายแดนกัมพูชา ก่อน เจรจา รวมทั้งขอให้รัฐบาลใช้โอกาสนี้ยกเลิก เอ็มโอยู 43 และ 44 และขอให้ ประชาชนไทย อย่าหลงกล ฮุนเซ็น ด้วยการ เกลียดชัง และมองแรงงาน กัมพูชา ในประเทศไทย เป็น ศัตรู เพิ่มความ ขัดแย้ง มากขึ้น
นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะเลขานุการและโฆษก คณะกรรมาธิการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ได้แถลงข่าวกับ สื่อมวลชน ถึงสถานการณ์ การสู้รบ” ระหว่าง ทหารไทยกับกัมพูชา ที่ยึดเยื้อมาเป็นเวลา 3 วัน โดยที่ยังไม่มีข้อยุติ และมีการเปิด แนวรบ เพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ ซึ่งไม่เป็นผลดีกับ ประชาชน ใน บริเวณในพื้นที่สู้รบ ซึ่งกรรมาธิการทหารฯ มีความเห็นว่า กองทัพภาค 1 ภาค 2 และ กองกำลังกองทัพเรือในพื้นที่ จ.ตราด ต้องเร่งดำเนินการ รุกแบบสายฟ้าแลบ โดยการยึดเมืองชายแดนของ กัมพูชาในพื้นที่ซึ่งมีการสู้รบโดยเร็ว ก่อนที่จะมีการ หยุดยิง และ เจรจา เกิดขึ้น เพราะการรบแบบยืดเยื้อ ไม่เป็นผลดีกับฝ่ายไทย
เนื่องจาก ยุทธวิธี ของ กัมพูชา เป้าหมายในการทำลาย ไม่ได้อยู่ที่ กองกำลังทหาร แต่อยู่ที่การยิงอาวุธหนักเข้ามายัง ประชาชน โดยการเอา ประชาชน เป็นตัวประกัน เพื่อให้ ประชาชนไทย บาดเจ็บ ล้มตาย ให้มากที่สุด เพื่อให้ รัฐบาล สั่งให้ ทหาร หยุดยิง และ ถอนกำลัง เพื่อการ เจรจา ซึ่งหากมีการ ถอนกำลัง โดยไม่มีการยึดพื้นที่ของ กัมพูชา ก่อน การ เจรจา จะไม่เป็นประโยชน์กับประเทศไทย
นายไชยยงค์ กล่าวว่า ฮุนเซ็น ใช้ ยุทธวิธี เอาประชาชนประเทศไทย และประเทศกัมพูชา เป็นตัวประกัน การใช้ เฟคนิวส์ ว่า ทหารกัมพูชา ยิงเครื่องบินของกองทัพไทยตกก็ดี การให้ข่าวการสูญเสียของทหารไทยก็ดี เป็นการ ปลุกใจ ชาวกัมพูชา โดยการทำข่าวหลอกลวงให้เห็นว่า รัฐบาลกัมพูชา มีขีดความสามารถในการสู้รบ เพื่อให้ประชาชนสนับสนุนรัฐบาล และ ข่าวลวงดังกล่าว ก็ได้สร้างความสับสนและเข้าใจผิดต่อประชาชนชาวไทย
ในขณะที่ รัฐบาลไทย ในขณะนี้ ยังอ่อนด้วยในเรื่องการให้ข่าวสารต่อสื่อมวลชนในเรื่อง สถานการณ์ ข้อเท็จจริง และมีการ ปิดบังอำพราง ข้อเท็จจริงของ สถานการณ์ต่อประชาชน สื่อมวลชน และ ประชาชน ต้อง หาข่าว ข้อเท็จจริง จาก แหลางข่าวอื่นๆ การที่ รัฐบาล ไม่มี”วอร์รูม” เป็นการเฉพาะต่อ สถานการณ์การสู้รบที่เกิดขึ้น ทำให้กลายเป็นประเด็นที่เสียเปรียบทั้งใน อาเซียน และในเวทีสากลหรือเวทีโลก อาจจะทำให้ เสียเปรียบ กัมพูชา ในองค์กร สหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น
นายไชยยงค์ กล่าวว่า จากการติดตาม ยุทธการ ของ กองทัพไทย ยังเห็นว่าที่ผ่านมา แนวรบของการ ปะทะ ทุกด้าน ยังเป็นการแค่ ตรึงพื้นที่ ที่เป็นดินแดนไทย และ ตั้งรับในดินแดนไทย เพื่อตอบโต้การ ยกพลเข้าตีของ ทหารกัมพูชา ให้มีการ ล่าถอย แต่ยังไม่ได้เปิด ยุทธการ รุกคืบเข้ายึดพื้นเมืองชายแดนของกัมพูชาแต่อย่างใด ยุทธวิธีที่ใช้ ยังเป็นการ รักษาดินแดน และการ ตีโต้ อริราชศัตรู ที่ทำให้ กัมพูชา ไม่ยอมแพ้ และยังสามารถ ปะทะ ตีโต้ ทหารไทยได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีในการ สู้รบ
กรรมาธิการทหารฯ มีความเห็นว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ รัฐบาล ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการประกาศยกเลิก เอ็มโอยู 44 ที่เกี่ยวกับการ อ้างสิทธิ์ในพื้นที่ทางทะเลอ่าวไทยด้าน จ.ตราด ซึ่งเกี่ยวกับก๊าซกรรมชาติในอ่าวไทย ที่ รัฐบาลไทย เสียเปรียบและประชาชนเชื่อว่าเป็น เอ็มโอยู ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับ ตระกูลชินวัตร และ ตระกูลฮุนเซ็น รวมทั้งการยกเลิก เอ็มโอยู 43 ที่เกี่ยวกับการ ปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา ที่เป็นปัญหา และนำมาสู่ข้อพิพาท ในขณะนี้ เพื่อที่จะยุติปัญหาเรื่องของแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่กัมพูชาใช้ และแผนที่ 1 ต่อ 50,000 ที่ไทยใช้ ที่กลายเป็นปัญหา ที่หาข้อยุติไม่ได้ โดยกลับมาใช้ สันปันน้ำ ในการ ปักปันเขตแดน เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากล
กองทัพภาคที่ 2 ต้องดำเนินการ ยึดพื้นที่ ปราสาทตาเมือน ปราสาทตาควาย เป็นของไทยอย่างเด็ดขาด โดยไม่ปล่อยให้ ประชาชนกำพูชา เดิน เข้า-ออก อย่างเสรี เหมือนเป็น ดินแดนของ กัมพูชา เพราะ หากปล่อยให้เป็นอย่างที่ผ่านมา จะทำให้เกิดข้อ ขัดแย้ง ขึ้นอีกในอนาคต
และ สุดท้าย กรรมาธิการทหารฯ ขอให้ประชาชนชาวไทย ติดตามสถานการณ์ ข่าวสาร บ้านเมือง อย่างมีสติ อย่ามองว่า แรงงานกัมพูชา ในประเทศไทย เป็น ศัตรู กับคนไทย เพราะเป็นคนละประเด็นกับ การ สู้รบ ระหว่าง ทหารไทย กับ กัมพูชา เพื่อที่จะไม่ทำให้เกิดความ วุ่นวาย เป็นการซ้ำเติม สถานการณ์ภายในประเทศ