กัณวีร์ ชี้ ไทยต้องเดินเกมการทูต-ความมั่นคง เหนือชั้นกว่า อย่าเป็นลูกไล่ ปล่อยกัมพูชา ฟ้อง UN
กัณวีร์ ชี้ ไทยต้องเดินเกมการทูต-ความมั่นคง เหนือชั้นกว่านี้ อย่าเป็นลูกไล่ ปล่อยกัมพูชา ฟ้อง UNGA
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมนายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.พรรคเป็นธรรม ได้โพสต์เฟซบุ๊ก กรณีกัมพูชาได้ส่งหนังสือถึงสหประชาชาติ กรณีพิพาทช่องบก ก่อนที่ไทยจะส่งหนังสือชี้แจง โดยระบุว่า
- กัมพูชา เดินหน้าร้องยูเอ็น ขอนำเรื่องพิพาทไทยเข้าสมัชชาใหญ่ ชี้ไทยยิงก่อน หวั่นความขัดแย้งลุกลาม
- กต.แจง กรณีกัมพูชาส่งหนังสือถึงยูเอ็น ชี้ ไทยยื่นหนังสือชี้แจงทันที ยัน ใช้กลไกทวิภาคี
ไทยต้องเดินเกมทางการทูตและงานความมั่นคงอย่างรู้เท่าทัน และต้องเหนือชั้นกว่า ไม่ปล่อยให้กัมพูชานำเหตุที่ไปฟ้องสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) โดยทำตัวเป็นลูกไล่ที่เค้าไปฟ้อง UNGA และศาลโลกอย่างอ่อนเชิง
สุดท้ายก็จริงอย่างที่ผมได้คาดการณ์ไว้ว่ากัมพูชา ต้องการนำข้อพิพาทชายแดนไทยกัมพูชา เข้าสู่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ หรือ UNGA โดยส่งจดหมายไปยัง UNGA เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมข้อกล่าวอ้างที่เป็นเหตุผลให้นำข้อพิพาท 4 พื้นที่ขึ้นสู่ศาลโลก
แต่ดีนะครับที่ไทยก็มีหนังสือชี้แจงไปอย่างทันท่วงที อันนี้ถือว่ายังทันอยู่
อย่างที่ทุกท่านติดตามปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่เหตุปะทะที่พื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค.68 จนบานปลายไปสู่มาตรการการเปิด-ปิด ด่านพรมแดน และกัมพูชานำพื้นที่พิพาททั้งที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่ช่องบก ฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ICJ
ผมเคยเตือนรัฐบาลไทยไปแล้วว่า เกมทั้งหมดกัมพูชาต้องการนำข้อพิพาทนี้ไปสู่ UNGA และ UNSC ดังนั้นรัฐบาลไทยต้องมีมาตรการทางการทูตเชิงรุกที่ทั้งรับมือและจัดการปัญหานี้ทางการทูตนำการทหาร และต้องเปลี่ยนงานทหารล้วนๆ เป็นงานความมั่นคงให้ได้ !!
อย่างที่ผมเคยบอกไว้นะครับว่า ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องมีมิติทางการทูตเข้ามาเกี่ยวข้อง จากที่ผ่านมาการที่กัมพูชาไม่นำข้อพิพาททั้ง 4 พื้นที่เข้าหารือใน JBC แต่นำยื่นฟ้องต่อศาลโลก ทำให้ไทยเสียเปรียบไปแล้ว และการที่กัมพูชานำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม UNGA และมีการบรรจุเป็นวาระในหัวข้อ การป้องกันการขัดกันด้วยอาวุธ (Prevention of armed conflict) ลงวันที่ 16 มิ.ย.68 พร้อมแนบหนังสือที่ยื่นไปศาลโลก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สรุปใจความสำคัญกัมพูชาให้ฟังสักเล็กน้อยครับ เค้ากล่าวอ้างหนังสือที่ส่งไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.68 เพื่อนำ 4 พื้นที่พิพาท ระหว่างไทย-กัมพูชา เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก
โดยอ้างว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ค.68 ได้เกิดการเผชิญหน้าด้วยอาวุธร้ายแรงในพื้นที่มุมไบ หรือช่องบก โดยไทยเป็นฝ่ายเริ่มเปิดฉากยิงใส่ทหารกัมพูชาที่ประจำการอยู่ในดินแดนอธิปไตยของกัมพูชา ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต หลังจากนั้นกองกำลังติดอาวุธหนักหลายพันนายไปประจำการทั้งสองฝั่งชายแดน จนทำให้เกิดข้อกังวลว่าจะทำให้เกิดการสู้รบเหมือนในปี 2551-2554 ซึ่งไม่เพียงจะเป็นภัยร้ายแรงต่อทั้งสองประเทศ แต่ยังรวมถึงสันติภาพความมั่นคงและเสถียรภาพโดยรวมในภูมิภาคด้วย
กัมพูชา อ้างว่าได้สนับสนุนการแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติวิธีผ่านการเจรจาที่สอดคล้องกับกฏหมายระหว่างประเทศมาโดยตลอด และพยายามเจรจาทวิภาคีมาหลายครั้งแต่ล้มเหลว เนื่องจากขาดเจตจำนงทางการเมืองจากทางการไทย ที่พึ่งพาแผนที่ที่ร่างขึ้นฝ่ายเดียวอย่างต่อเนื่อง มีการกระทำที่ละเมิดอธิปไตยของกัมพูชา รวมถึงการคุกคามจากแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย ที่จะแก้ไขปัญหาข้อพิพาทโดยใช้กำลัง เป็นตัวอย่างของพฤติกรรมที่ไม่เป็นมิตร และพัฒนาการน่ากังวลคือความรู้สึกชาตินิยมสุดโต่งที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างแพร่หลาย ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการแสดงความเห็นที่ไม่รับผิดชอบของกองทัพไทยและบุคคลทางการเมืองบางคน ที่เสี่ยงต่อการปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังทางชาติพันธุ์และความขัดแย้งตามมาได้
กัมพูชายกเหตุผลเหล่านี้เสนอต่อ UNGA และเน้นย้ำว่า รัฐบาลกัมพูชาไม่มีทางเลือกที่ต้องนำ 4 พื้นที่พิพาทสู่ศาลโลก และนำเรื่องนี้เข้าที่ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ UNGA
ในขณะที่รัฐบาลไทยก็ส่งคำชี้แจงไปอย่างรวดเร็ว ตามจดหมายลงวันที่ 19 มิ.ย.68 ที่ระบุว่า ไทยยึดมั่นต่อกฏบัตรสหประชาชาติ โดยเฉพาะการแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติ งดเว้นการใช้กำลังและเคารพในอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศสมาชิกทั้งหมด โดยยืนยันว่า ไทยและกัมพุชามีความสัมพันธ์มายาวนาน แต่ได้แก้ไขความขัดแย้งผ่านการเจรจาอย่างสันติ พร้อมยืนยันตามแถลงการณ์ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พ.ค.68 ว่าการปะทะกันระยะสั้นระหว่างทหารไทยและกัมพูชา ในพื้นที่ช่องบก เกิดขึ้นในขณะที่ทหารไทยกำลังลาดตระเวนตามปกติภายในเขตอธิปไตยไทย เพื่อตอบโต้การยิงของทหารกัมพูชาที่เข้าไปในดินแดนไทย และกองกำลังไทยต้องบังคับใช้มาตรการป้องกันตนเองอย่างสมส่วนและเหมาะสม สอดคล้องกับกฏหมายระห่างประเทศ โดยการกระทำของทหารกัมพูชาถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยอย่างชัดเจน
นอกจากนี้รัฐบาลไทยย้ำว่า การที่กัมพูชาส่งทหารไปประจำการในพื้นที่เป็นการละเมิด MOU 2543 อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการฝ่าฝืนข้อ 5 ว่าด้วยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะไม่ดำเนินการใดๆ ที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของเขตแดน และการตัดสินใจของกัมพูชาในการยื่นเรื่องต่อศาลโลก ชัดเจนว่าทำไปโดยไม่สุจริตใจ บ่อนทำลายกระบวนการของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ที่ประชุมไปเมื่อวันที่ 14-15 มิ.ย.2568 และยังขัดต่อเจตนารมณ์ใน MOU 2543 ที่ต้องยุติปัญหาโดยสันติวิธีผ่านการเจรจา
ฝ่ายไทยย้ำว่าต้องการแก้ปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชาอย่างสันติ ผ่านกลไกทวิภาคี ทั้งระดับ คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) คณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาค (RBC) และคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วย การกำหนดเขตแดนทางบก (JBC) รวมถึงไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
จดหมายของฝ่ายไทยชี้แจงได้ครบถ้วนนะครับ จริงๆหากรัฐบาลพูดชัดแบบนี้ตั้งแต่ต้น และดำเนินนโยบายทางการทูตด้วยความระมัดระวัง ไม่ตกเป็นเป้านิ่งให้กัมพูชา เปิดเกมรุกให้เรื่องไปถึงศาลโลก และ UNGA
สถานการณ์นับจากนี้จึงต้องระมัดระวังไม่ให้กัมพูชา ใช้เหตุการณ์ชายแดนไปเป็นข้ออ้างฟ้อง UNGA ว่าไทยเป็นฝ่ายละเมิดเปิดฉากปะทะ สิ่งที่จะยืนยันได้ก็ต้องเป็นหลักฐานข้อเท็จจริงตามที่ไทยได้ชี้แจงไป และเดินเกมรุกทางการทูต ในขณะที่ทางการทหารเราก็ต้องเข้มแข็งและเดินเกมอย่าระมัดระวังในการรักษาอธิปไตยทั้งในชายแดนและในเวทีโลก
อีกเรื่องที่ขอเสนอคือต้องมองข้ามงานการทหารให้ไปสู่งานความมั่นคงให้ได้ ความมั่นคงมันมีบริบทมากกว่าการทหาร มันต้องมองด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและงานการต่างประเทศ เอาบริบทข้อเท็จจริงมาพิจารณาให้ดี หากมองเรื่องข้อพิพาทกับกัมพูชาเรื่องเขตแดนที่เป็นข้ออ้างของกัมพูชาในการสร้างสถานการณ์แล้ว เราต้องเล่นให้เป็น เดินเกมการทำงานอย่างมืออาชีพ
ผมเคยบอกไปนานแล้วตั้งแต่ต้นๆ ว่าไม่ต้องนำเรื่องมาตรการการเปิด-ปิดชายแดนมาเป็นสารัตถะสำคัญ หากจะปิดเอาแค่ปิดในพื้นที่ที่มีการเผชิญหน้าทางทหารเพียงเท่านั้น ที่อื่นต้องนิ่งเฉย อย่าไปเล่นเกมเค้า เอามาตรการอื่นมาทำ อาทิ การปราบปรามสถานการณ์อาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ มาเป็นตัวตั้งและต้องทำรอบประเทศ ไม่ใช่แค่กัมพูชา เราต้องเล่นเหนือครับ !!
ปราบธุรกิจเทาดำให้สิ้นซาก เพราะมันกระทบกับโลกใบนี้ทั้งใบ เน้นงานสิทธิมนุษยชนและงานมนุษยธรรมรอบประเทศ ตัดความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างไทย-กัมพูชาเรื่องความร่วมมือการกดปราบข้ามชาติ (Transnational Repression—TNR) ไม่ร่วมมือกับกัมพูชาในการมอบผู้ลี้ภัยทางการเมืองกลับไปตายในกัมพูชา ไม่เป็นเบี้ยรองบ่อนให้เค้าใช้ประเทศไทยในการทำการประหัตประหารคนของกัมพูชาในดินแดนไทย
เร่งสร้างการพัฒนาเมืองชายแดนให้เข้มแข็ง ออกนโยบายการสร้างเมืองคู่แฝด (sister cities) ทั่วประเทศ เสริมอำนาจชุมชุนให้มีความรู้สึกถึงความเป็นหุ้นส่วนการร่วมพัฒนา โดยใช้วิถีและอัตลักษณ์ชุมชน เพื่อเร่งสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนโดยชุมชนท้องถิ่นด้วยการพัฒนาอย่างสากล มองมิติการพัฒนาเชิงเศรษฐกิจฐานรากชุมชนให้กระจายแผ่ไปชายแดนรอบประเทศ
มาตรการพิจารณาปกป้องการนำสินค้าเข้ามายังประเทศในบางรายการที่อุ้มชูคนไทยรอบชายแดน และในขณะเดียวกันตรวจสอบจุดแข็งประเทศเพื่อนบ้านและพร้อมช่วยเหลือในบางอย่าง เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน และรวมถึงการศึกษาบริเวณชายแดนที่มีลูกหลานของเพื่อนบ้านที่ยังต้องพึ่งพิงระบบการศึกษาในไทยบริเวณชายแดน ทำให้ดีมีระบบสร้างคุณธรรมตามหลักมนุษยธรรมไปด้วย
เราต้องเล่นเหนือในด้านอื่นๆ ที่เป็นงานความมั่นคง อย่าห่วงเลยครับงานการทหาร ทหารไทยเอาอยู่ไม่มีบกพร่องอย่างแน่นอน แต่งานด้านอื่นๆ เพื่อเสริมความมั่นคงทั้งชายแดนและส่วนกลางของเราที่จะช่วยให้เราแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบผ่านการพัฒนา จำเป็นต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้ ถือคติผู้ใหญ่ให้ความเมตตาต่อเด็ก เมื่อเด็กงอแงเราต้องใช้หลักเมตตาธรรมสั่งสอนให้เด็กเข้าใจถึงความเป็นจริง และสักวัน “เด็ก” คนนั้นจะเป็นคนดีในสังคมโลกนี้ต่อไป
หวังว่าผู้บริหารประเทศจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพยายามจะสื่อสารนะครับ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : กัณวีร์ ชี้ ไทยต้องเดินเกมการทูต-ความมั่นคง เหนือชั้นกว่า อย่าเป็นลูกไล่ ปล่อยกัมพูชา ฟ้อง UN
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th