นักวิชาการ มธ.แนะแผน 3 ระยะ สร้าง ศก.ไทย จากภาษีทรัมป์ ชง ‘คลัง-BOI’ ลดผลกระทบ
ผศ.ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ 19% ต่อสินค้าของไทยเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ตอนหนึ่งว่า อัตราภาษี 19% เป็นอัตราที่ไม่ได้หนักอย่างที่กังวลกันในช่วงแรก แต่ก็ยังส่งผลกระทบต่อโครงสร้างต่อเศรษฐกิจไทย และเป็นสัญญาณเตือนถึงความเปราะบางของระบบการค้าโลกภายใต้บริบทภูมิรัฐศาสตร์ใหม่
อย่างไรก็ตาม การตอบสนองต่อภาษีศุลกากรครั้งนี้ไม่ควรถูกมองเพียงในมิติวิกฤต แต่ควรเป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ เพื่อสร้างความมั่นคงทางการค้า เสริมความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับประเทศสู่เศรษฐกิจแห่งอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม การตอบสนองต่อภาษีศุลกากรครั้งนี้ไม่ควรถูกมองเพียงในมิติวิกฤต แต่ควรเป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ เพื่อสร้างความมั่นคงทางการค้า เสริมความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับประเทศสู่เศรษฐกิจแห่งอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ผศ. ดร.เกียรติอนันต์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่รัฐบาลไทยจำเป็นต้องเร่งดำเนินมาตรการ ควรครอบคลุมทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว โดยระยะสั้น 0–6 เดือน ควรให้ความสำคัญกับการบรรเทาผลกระทบเฉียบพลันที่เกิดขึ้น รัฐบาลต้องเร่งดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างเร่งด่วน อาทิ การจัดตั้งกองทุนบรรเทาผลกระทบจากภาษีศุลกากร ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และเงินอุดหนุนเสริมสภาพคล่องแก่ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้ ควรมีการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ส่งออกที่ยังต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก รวมถึงมาตรการชั่วคราวด้านภาษีนำเข้าสำหรับวัตถุดิบสำคัญ ในขณะเดียวกันต้องเร่งขยายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคใหม่ๆ เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา ผ่านกลไกการทูตเชิงเศรษฐกิจและการสนับสนุนการใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในการเข้าถึงตลาดโดยตรง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มีความเปราะบางต่อความผันผวนของการค้าโลก
สำหรับการดำเนินการในระยะกลาง 6–18 เดือน ควรให้ความสำคัญกับการวางรากฐานเพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการยกระดับทุนมนุษย์ และเร่งเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ พร้อมกับการผลักดันนโยบายส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่ที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรมสีเขียว และการผลิตอัจฉริยะ เพื่อให้ไทยสามารถแข่งขันภายใต้ข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมและแรงงานที่เข้มงวดยิ่งขึ้น เช่น มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) และเกณฑ์สำคัญในการประเมินความยั่งยืนขององค์กรผ่านแนวคิดถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
พร้อมกันนี้ รัฐบาลควรลงทุนในทุนมนุษย์ โดยจัดโปรแกรมการสร้างทักษะขึ้นมาใหม่ที่จำเป็นต่อการทำงาน (Reskill) และการพัฒนาเพื่อยกระดับทักษะให้ดีขึ้นกว่าเดิม (Upskill) ให้แก่แรงงานในภาคการผลิตและโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ควบคู่กับการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น Big Data และ AI ในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และการวางแผนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ
ในส่วนการวางรากฐานระยะยาว 1.5–5 ปี ต้องปรับบทบาทไทยให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมการแข่งขันในเศรษฐกิจโลก กล่าวคือประเทศไทยควรปรับบทบาทจากผู้ผลิตต้นทุนต่ำ เป็นผู้ส่งออกบริการและนวัตกรรมมูลค่าสูง โดยส่งเสริมการส่งออกบริการที่ยากต่อการถูกตอบโต้ทางการค้า อาทิ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ บริการโลจิสติกส์ดิจิทัล และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมนวัตกรรมผ่านการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) การจดสิทธิบัตร และการลงทุนในเทคโนโลยีต้นน้ำ
อีกทั้งด้านการต่างประเทศควรจัดตั้งกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจไทย–สหรัฐฯ เพื่อเป็นเวทีหารือเชิงนโยบายที่ต่อเนื่อง และป้องกันข้อพิพาททางการค้าในอนาคต พร้อมขับเคลื่อนบทบาทของไทยในเวทีพหุภาคี เช่น กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF) ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก(APEC) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก(CPTPP) อย่างมียุทธศาสตร์
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปว่า ควรจะมีการยกระดับกลไกเชิงสถาบันเพื่อสร้างนโยบายสร้างการสื่อสารเชิงรุก เพื่อตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพต่อความผันผวนของระบบการค้าโลก ผ่านการจัดตั้งคณะทำงานเสริมความแกร่งด้านการค้าระหว่างประเทศของไทย (Thailand Trade Resilience Taskforce – TTRT) ภายใต้การนำของกระทรวงพาณิชย์และ BOI โดยมีภารกิจในการวิเคราะห์สถานการณ์การค้าโลก ติดตามความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง และพัฒนากลยุทธ์ตอบสนองเชิงนโยบาย รวมถึงการจัดทำระบบเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับภาคธุรกิจ
มากไปกว่านั้น ด้านความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และเวทีนานาชาติ ควรเร่งจัดทำแผนการทูตเชิงสาธารณะ เพื่อสื่อสารบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผู้นำด้านสิทธิมนุษยชน และพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน โดยใช้สื่อกระแสหลัก งานนิทรรศการ และช่องทางออนไลน์ในการเข้าถึงกลุ่มผู้มีบทบาทในสหรัฐ
“ทั้งนี้ ภาครัฐควรใช้ประโยชน์จากสถาบันวิจัย (Think Tank) และมหาวิทยาลัย ในการจัดทำการวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจ การจัดทำฉากทัศน์การค้าโลก และการจัดทำแผนปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมระดับกลุ่มสินค้า ทั้งนี้ควรมีกลไกการเชื่อมโยงข้อมูลเชิงวิชาการกับการตัดสินใจเชิงนโยบายของกระทรวงพาณิชย์และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอย่างเป็นระบบ” นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าว