‘โรม’ จ่อเรียก ‘แพทองธาร-ภูมิธรรม’ แจงปมขัดแย้ง ‘ไทย-กัมพูชา’ ชี้ทุ่นระเบิดเรื่องใหญ่
เมื่อวันที่ 22 ก.ค. นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีการวางทุ่นระเบิดฝั่งชายแดนไทยและมีทหารได้รับบาดเจ็บว่า ในวันพฤหัสที่ 24 ก.ค. จะพูดคุยในภาพรวมทั้งหมด และจะขอมติที่ประชุมคณะกรรมมาธิการฯ เพื่อใช้อำนาจเรียก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.วัฒนธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี รวมถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ซึ่งไม่ได้สนใจ แต่ตนทำหน้าที่ของตน เพราะสิ่งที่ตนทำไปทั้งหมด หลักคิดง่ายนิดเดียว เพราะเรื่องคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร และสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็ก และพยายามปลดให้จบ ไม่ต้องมีการทำอะไรต่อ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แต่ตนรับไม่ได้ ดังนั้นตนเป็นประธานกรรมาธิการความมั่นคงฯ จึงจำเป็นต้องทำหน้าที่ของตัวเอง เพราะเรื่องนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในหลายเรื่องของรัฐบาล ที่ไม่สามารถเดินต่อได้ ในการทลายความขัดแย้งที่เป็นอยู่กับกัมพูชา
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า การที่เราเห็นปราสาทตาเมือนธม ที่มีคนขึ้นไปแล้วแทบจะเป็นเวทีมวยตลอดเวลา ตนไม่คิดว่าเป็นบรรยากาศที่ดี ขอถามว่าหากความขัดแย้งขยายใหญ่โตจากปัญหาของ 2 ตระกูลที่เกิดขึ้น ใครจะรับผิดชอบ สุดท้ายคนทั้ง 2 ประเทศ จะต้องเข่นฆ่ากัน ซึ่งถือเป็นความไม่รับผิดชอบของ น.ส.แพทองธาร และนายทักษิณ และทำให้สุดท้ายประเทศไทยเสี่ยงกับการเจอวิกฤติทางการเมืองที่เราเป็นอยู่ จึงคิดว่าปัญหาตามแนวชายแดน ควรจะมีแนวทางที่จะต้องหาทางออกได้แล้ว ไม่ควรปล่อยแบบนี้ต่อไป โดยที่เรื่องต่างๆ ที่รัฐบาลหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการเจรจากับชาติอื่น รวมถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็มีความคืบหน้าค่อนข้างน้อยมาก ในขณะที่ล่าสุดที่มีการวางกับดักระเบิด ก็ชัดเจนว่าผิดอนุสัญญาออตตาวา จะรอเดือน ธ.ค. ที่มีการประชุม ก็เป็นไปไม่ได้ และท่าทีของกระทรวงการต่างประเทศถือว่าล่าช้าไปมาก เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ผันแปรไป ดังนั้นความล่าช้าต่างๆ ก็เติมไฟให้ความรู้สึกของประชาชน และหากสถานการณ์บานปลายถึงขั้นรบกัน ก็ไม่มีใครได้ ทุกคนเสียหมด
เมื่อถามว่าล่าสุดกัมพูชาตอบโต้ไม่มีหลักฐานว่าเป็นทุ่นระเบิดของกัมพูชานั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า หลักฐานก็คือระเบิด ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องรวบรวม หากเป็นระเบิดที่วางกับดักโดยกัมพูชาจริง ตนถือเป็นเรื่องใหญ่ แม้ตามอนุสัญญาในแง่ของบทลงโทษที่ชัดเจน ไม่ได้ขนาดนั้น แต่ต้องยอมรับว่าใครก็ตามที่ละเมิดอนุสัญญา ก็เสียหาย การยอมรับในเวทีนานาชาติ ก็ต้องเรียกได้ว่าน่าจะได้รับความเสียหายมาก ตนจึงคิดว่าเรื่องนี้ประเทศไทยอยู่เฉยไม่ได้ และต้องทำงาน โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศและฝ่ายความมั่นคง จะต้องทำงานอย่างเป็นเอกภาพ กระทรวงการต่างประเทศจะมีการประณามก็ออกมาช้า แม้กระทั่งส่งหนังสือประท้วงก็ยังไม่ได้ทำ ควรเชิญมาตำหนิก็ยังไม่ได้ทำ ดังนั้นคิดว่ากระบวนการหลายอย่าง ค่อนข้างล่าช้าอยู่มาก จึงคิดว่ารัฐบาลอาจจะมีปัญหา จะไปรอให้หน่วยปฏิบัติทำเองทุกอย่างก็ไม่ได้ ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ต้องมีรัฐบาลก็ได้ แล้วให้การบริหารงานไปโดยข้าราชการ
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า หลังจากมีคลิปเสียง รัฐบาลก็พูดอะไรมากไม่ได้ หากยุ่งมากก็จะมีปัญหาเรื่องความชอบธรรม จึงทำให้รัฐบาลไปยุ่งหรือไปกำกับอย่างที่ควรจะเป็น ปล่อยให้ฝ่ายประจำทำและสุดท้ายก็และช้าไปหมด ขณะนี้เราเหมือนจะอยู่ในสถานการณ์ที่เพลี้ยงพล้ำ นี่ยังไม่นับว่า พี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนได้รับความเดือดร้อน จริงๆ เราเห็นภาพที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม เป็นความขัดแย้งชิงไหวชิงพริบกัน แต่พี่น้องตามแนวชายแดน กังวลว่าจะมีสงครามหรือไม่ กังวลว่าจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นหรือไม่ในขณะที่ ฝั่งอรัญประเทศก็กังวลเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง ดังนั้นหากปล่อยให้ปัญหาคาราคาซังแบบนี้ เดินต่อลำบากจริงๆ ดังนั้นรัฐบาลต้องกำกับ ให้ทุกหน่วยงานทำงานอย่างเป็นเอกภาพ ฝ่ายความมั่นคงก็ทำงาน การสื่อสารของฝ่ายความมั่นคง รัฐบาลก็ต้องทำงาน ขณะเดียวกันกระทรวงการต่างประเทศก็ต้องไม่ช้า ซึ่งเห็นว่าตอนนี้นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศทำงานช้ามาก
เมื่อถามว่าจะมีอะไรฝากถึง น.ส.แพทองธาร หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ถ้าไปต่อไม่ได้ก็มีวิถีทางการเมืองอยู่ คือวันนี้ท่านต้องรู้จักพอ ท่านต้องพอได้แล้ว และคืนอำนาจให้กับประชาชน เมื่อไรที่ น.ส.แพทองธารและนายทักษิณ ไม่รู้จักคำว่าพอ และไม่รู้จักเข้าใจว่าสถานการณ์นี้ไปต่อไม่ได้จริงๆ ประเทศจะเดินต่อไม่ได้ จึงอยากให้อย่างน้อยที่สุด มองเห็นภาพรวมของประเทศชาติ และคิดเสียว่าหากสถานการณ์แบบนี้ที่ไปต่อไม่ได้ บางทีการหันไปสู่การเลือกตั้ง อาจจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดก็ได้ ตนคิดว่าเมื่อมีการเลือกตั้ง ทุกอย่างจะคลี่คลายกว่านี้.