ครม.ไฟเขียว รฟท.ซื้อแคร่ขนสินค้า 946 คัน กว่า 2.4 พันล้าน ส่วนรถโดยสารและหัวจักรใหม่“สุริยะ”ให้ทำข้อมูลเพิ่มก่อนส่ง สศช.
“สุริยะ”เผยครม.อนุมัติรฟท.จัดซื้อรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต.) 946 คัน วงเงิน 2.45 พันล้านบาททดแทนแคร่สินค้าเก่า หวังเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางจาก 2% เป็น 7% ภายในปี 70 และเป็น 10%ในปี 75 ส่วนจัดหารถโดยสารและหัวจักรใหม่อีก 3 โครงการ เร่งรฟท.ทำข้อมูลเรื่องความคุ้มค่าให้รอบด้าน หวั่นสศช.ตีกลับ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 5 ส.ค. 2568 มีมติอนุมัติให้จัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สิ้นค้า (บทต.) โดยกำหนดให้นำชิ้นส่วนภายในประเทศและต่างประเทศมาประกอบภายในประเทศ จำนวน 946 คัน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) วงเงิน 2,459.975 ล้านบาท โดย รฟท.เป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่าย แหล่งเงินกู้ และกระทรวงการคลังเปฌนผู้ค้ำประกัน
โดยเหตุผลความจำเป็นโครงการระบุว่า ปัจจุบัน รฟท.มีจำนวนรถสินค้าประเภทรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า เพื่อใช้ในการขนส่งสินค้า 1,308 คัน ชำรุดซ่อมแซท 277 คัน ทำให้เหลือใช้งานจริงเพียง 1,031 คัน เนื่องจากรถโบกี้บรรทุกสินค้าส่วนมากมีสภาพการใช้งานมายาวนาน ซึ่งเดิม รฟท. มีรถโบกี้บรรทุกสินค้าพิกัดบรรทุก 39 ตัน บรรทุกตู้สินค้าขนาด 20 ฟุต ได้เพียง 1 ตู้ ไม่เป็นที่สนใจของลูกค้าในปัจจุบัน ที่ส่วนมากต้องการขนส่งคราวละมากๆ ในพิกัดบรรทุกสินค้าที่ 45-50 ตัน และ 62 ตัน ซึ่งมีจำนวนคงเหลือไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า
ประกอบกับแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศ 2566-2570 มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางจาก 2% เป็น 7% ภายในปี 2570 และเป็น 10% ภายในปี 2575หรือสามารถเพิ่มการขนส่งสินค้าที่ ประมาณ 27.61 ล้านตัน รฟท.จึงมีแผนงานในการจัดหารถโบกี้บรรทุกสินค้าเพิ่มจำนวน 946 คันระหว่าง งบประมาณปี 2566-2570
สำหรับรายละเอียดของการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า จะเป็นลักษณะรถโบกี้ตู้สินค้าที่มีพิกัดบรรทุกขนาด 62 ตัน รองรับความเร็วสูงสุด 100 กม./ชม. สามารถขนส่งได้ทั้งตู้คอนเทนเนอร์ทั่วไป ตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้สำหรับขนส่งก๊าซและสารเคมี และตู้คอนเทนเนอร์แบบเย็นที่ใช้สำหรับขนส่งสินค้าแช่เย็นหรือแช่แข็ง
ส่วนรูปแบบการจัดหา จะใช้รูปแบบการจัดหารถ โดยการนำชิ้นส่วนภายในประเทศและต่างประเทศมาประกอบภายในประเทศ โดยจะมีชิ้นส่วนรวม 413 ชิ้น โดยสามารถผลิตในประเทศได้ 323 ชิ้น ขณะที่แหล่งที่มาของเงิน รฟท.จะเป็นผู้รับภาระทั้งหมด โดยใช้เงินกู้ที่จะมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน โดยคาดว่าจะมีผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) อยู่ที่ 18.84% และมีผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ (EIRR) อยุ่ที่ 21.85% และน่าจะมีระยะเวลาคืนทุนภายใน 7 ปี 4 เดือน
ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดหารถโบกี้ครบแล้ว คาดว่าจะมีการนำไปใช้ในเส้นทางต่างๆ เช่น ช่วง ICD ลาดกระบัง-ท่าเรือแหลมฉบัง จำนวน 154 คัน, ช่วงหนองคาย - ท่าเรือแหลมฉบัง 396 คัน และช่วงจ.อุบลราชธานี-ท่าเรือแหลมฉบัง 66 คัน
นายสุริยะกล่าวว่า นอกจากนี้ รฟท.ยังมีโครงการจัดหารถจักรล้อเลื่อนอีก 3 โครงการ ได้แก่ โครงการจัดหารถโดยสารทดแทนขบวนรถด่วนพิเศษ และขบวนรถด่วน พร้อมอะไหล่ จำนวน 182 คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 10,502.10 ล้านบาท , โครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศ พร้อมอะไหล่ จำนวน 184 คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 24,150.00 ล้านบาท และโครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าพร้อมอะไหล่ ขนาดน้ำหนักกดเพลา 20 ตันต่อเพลา จำนวน 113 คัน วงเงินงบประมาณ 23,730 ล้านบาท
ซึ่งรฟท.ได้เสนอเรื่องมาที่กระทรวงคมนาคมแล้ว และตามขั้นตอน กระทรวงฯจะเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความเห็น เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ฯ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลังก่อน จากนั้นจึงจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเรื่องนี้ตนได้หารือกับ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เนื่องจากที่ผ่านมา พบว่า เมื่อมีการเสนอโครงการของกระทรวงคมนาคมไปสภาพัฒน์ฯ มักจะไม่ผ่าน โดยจะถูก ตั้งข้อสังเกตุ เช่นอ เรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน ขณะที่ทั้ง 3 โครงการนี้ มีวัตถุประสงค์ในการจัดหาต่างกันด้วย
ดังนั้นตนจึงให้นำเรื่องกลับมาและส่งไปให้ทางรฟท.พิจารณาตรวจสอบข้อมูลว่า จะต้องมีการเพิ่มเติมปรับปรุงอะไรอีกหรือไม่ ทำให้รอบคอบก่อน นำประเด็นต่างๆที่ก่อนหน้านี้ สภาพัฒน์ฯ เคยตั้งข้อสังเกตุ มาดูประกอบให้รอบคอบ และจะเชิญผู้แทนสภาพัฒน์ฯเข้ามาร่วมตั้งแต่แรก เหมือนโครงการรถไฟทางคู่ระยะ 2 ที่สภาพัฒน์ สอบถามข้อมูล ขอเอกสารเพิ่มเติม ต้องใช้เวลาชี้แจง 8-10 เดือน
นายสุริยะกล่าวว่า จะกำชับนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าฯรฟท. ให้เร่งดำเนินการ และสรุปเสนอสภาพัฒน์ฯและเสนอครม.ใน 3-4 เดือนจากนี้ เพราะการจัดหารถจักร และรถโดยสารหลังครม.อนุมัติแล้ว ยังต้องใช้เวลาในการดำเนินการประมูลและจัดหาอีก 2 ปี เพื่อให้ทันกับโครงการรถไฟทางคู่ระยะแรกที่จะแล้วเสร็จ
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO