โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

Spotlight: ประเทศไทยเกิดอะไรขึ้นบ้างในสัปดาห์นี้ [30 มิ.ย.- 4 ก.ค. 2568]

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

อัพเดต 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ภาพไฮไลต์

ไฮไลต์สำคัญสัปดาห์นี้หนีไม่พ้นเรื่องการเมืองไทย จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก ให้ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ เป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลฯ จะมีคำวินิจฉัย จากเหตุคลิปเสียงสนทนาฮุน เซน เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่เรื่องราวที่ชวนให้น่าติดตามต่อไปอย่างแนวทางของพรรคประชาชนที่พร้อมสนับสนุน ‘นายกฯ เฉพาะกิจ’ พร้อมเงื่อนไขพิเศษ หากคำวินิจฉัยของศาลฯ ออกมาว่าแพทองธารจะหลุดออกจากตำแหน่งนายกฯ

นอกจากการเมืองไทยที่ร้องแรงอย่างต่อเนื่องติดกันมาหลายเดือนนับตั้งแต่เกิดข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ยังมีอีกหลายเรื่องที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้ เช่น การเสนอร่างข้อบัญญัติควบคุมป้าย LED ของผู้ว่าฯ ชัชชาติ เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของผู้ใช้รถใช้ถนน หรือกระทั่งผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางแสง หรือความเดือดร้อนในหน้าฝน ความกังวลต่อพายุที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คน

รวมถึงประเด็นอื่นๆ ที่สร้างบทสนาให้กับสังคมตลอดทั้งสัปดาห์อย่างกรณีเสียงวิจารณ์เกมกระโดดเชือก ‘Squid Game’ ณ ลานคนเมือง หรือข้อถกเถียงจากประเด็นล้อเลียนผู้พิการทางสายตาของ ‘หลิงหลิง- ศิริลักษณ์ คอง’ ไทยรัฐพลัสรวบรวมประเด็นน่าสนใจตลอดสัปดาห์มาไว้ที่นี่แล้ว

ศาลฯ สั่ง ‘แพทองธาร’ ยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ด้าน นพ.ตุลย์ ยื่นหนังสือร้องต่อ ขอให้ถอดออกจาก รมว.วัฒนธรรมด้วย

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้วินิจฉัยคุณสมบัติของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และมีคำสั่งให้แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ เป็นการชั่วคราว มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ซึ่งคำร้องดังกล่าวเกิดขึ้นจากกรณีคลิปเสียงสนทนาแพทองธารกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา

การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เวลา 13.22 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องที่ มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภาส่งให้วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของแพทองธารสิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียง รับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัย และได้แจ้งให้ผู้ร้องทราบ พร้อมทั้งให้ผู้ถูกร้อง (แพทองธาร) ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง

สำหรับคำขอให้สั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ นั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีมติด้วยเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 เสียง เห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่าแพทองธารมีกรณีตามที่ถูกร้อง จึงมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 ท่านที่เห็นต่าง คือ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และอุดม สิทธิวิรัชธรรม โดยมีความเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องยังไม่ยุติชัดเจนพอที่จะปรากฏเหตุอันควรสงสัยให้สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่เสนอให้ใช้มาตรการชั่วคราวด้วยการห้ามผู้ถูกร้องใช้อำนาจหน้าที่ด้านความมั่นคง ด้านการต่างประเทศ และด้านการคลัง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอย่างร้ายแรง

ด้านแพทองธาร ออกมาน้อมรับมติศาลฯ และแถลงข่าวว่าจะใช้เวลา 15 วันในการชี้แจงเพื่อบอกความตั้งใจที่แท้จริงว่าเรื่องคลิปเสียงที่หลุดออกมานั้นมีเจตนาเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่ตั้งใจทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศ และรักษาชีวิตของทหารทุกคน เพื่อสันติภาพ เธอมั่นใจในสิ่งที่ทำ แต่ยอมรับว่าวิธีการอาจไม่ถูกใจใครหลายคน และจะพยายามพิสูจน์เจตนาดีนี้ให้ได้

ทั้งนี้ การตัดสินใจของศาลรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นในวันที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่มีการปรับเปลี่ยน 14 ตำแหน่ง เพิ่งได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ โดยแพทองธารได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รมว.วัฒนธรรม อีกหนึ่งตำแหน่งด้วย

ทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งออกมา แฮชแท็ก #ศาลรัฐธรรมนูญ และ #นายกแพทองธาร ได้พุ่งติดเทรนด์บนแพลตฟอร์ม X แสดงให้เห็นถึงความสนใจของประชาชน นอกจากนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวจากภาคประชาชน โดย นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ได้ยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภาเพื่อขอให้ สว. ร่วมกันลงชื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยถอดถอนแพทองธาร ออกจากตำแหน่ง รมว.วัฒนธรรมด้วย ซึ่ง นพ.ตุลย์ เปิดเผยถึงความเชื่อส่วนตัวว่า ‘นิติสงคราม’ เป็นเครื่องมือของภาคประชาชนในการดำเนินการกับนักการเมืองที่ทำไม่ถูกต้อง

พรรคประชาชนยื่นเงื่อนไขพลิกเกมการเมือง หนุน ‘นายกฯ เฉพาะกิจ’ สู่ยุบสภา ด้าน ‘ณัฐวุฒิ’ มองว่าเข้าทาง ‘อนุทิน’ นั่งนายกฯ เสียงข้างน้อย ไร้เสถียรภาพ

ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน พรรคประชาชนได้ออกมาประกาศจุดยืนและเสนอทางออกสำหรับประเทศ โดยระบุว่าพร้อมที่จะลงมติสนับสนุนผู้เสนอตัวเป็นนายกฯ คนใหม่ หากนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่ง และผู้เสนอตัวเป็นนายกรัฐฯ คนนั้นยอมรับ ‘เงื่อนไข’ ในการเป็นรัฐบาลชั่วคราวที่มีภารกิจหลักคือการเดินหน้าสู่การยุบสภา

พรรคประชาชนย้ำในแถลงการณ์ว่า ประเทศต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีความชอบธรรม และได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ซึ่งรัฐบาลเช่นว่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากสมการการเมืองของสภาชุดปัจจุบัน ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดคือการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่โดยเร็ว

ทั้งนี้ ยังยืนยันอีกด้วยว่าจะยังคงทำหน้าที่ฝ่ายค้านไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ แต่หากจำเป็นเพื่อไม่ให้ประเทศเข้าสู่ทางตัน จะพิจารณาโหวตให้นายกฯ คนใหม่ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องประกาศยุบสภาภายในสิ้นปี พร้อมทั้งดำเนินการภารกิจเฉพาะหน้า เช่น การจัดทำประชามติเรื่องการมี สสร. เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่พร้อมกับการเลือกตั้ง การคลี่คลายสถานการณ์ข้อพิพาทไทย-กัมพูชา และการจัดทำงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาปากท้องประชาชน

โดยพรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมรัฐบาล และจะไม่มีใครเป็นรัฐมนตรี หากนายกฯ คนดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามคำพูด พรรคประชาชนจะใช้เสียง สส. ทั้ง 142 คน และกลไกสภาฯ เพื่อล้มรัฐบาลนั้นทันที

ขณะที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษานายกฯ ให้สัมภาษณ์กับไทยรัฐทีวีโดยมองว่าข้อเสนอของพรรคประชาชนเป็นการพยายามหาทางออก แต่ดูจะเกิดขึ้นได้ยากและเร็วเกินไปที่จะนำมาคิด เนื่องจากกระบวนการต่างๆ ยังอยู่ในขั้นตอนของศาลรัฐธรรมนูญ และรัฐบาลปัจจุบันก็เพิ่งปรับคณะรัฐมนตรีครบถ้วน กำลังเดินหน้าทำงานเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมืองและแก้ไขปัญหาวิกฤตต่างๆ

เขาวิเคราะห์ว่าสูตรที่พรรคประชาชนเสนอนั้น หมายถึงการโหวตให้อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกฯ โดยที่พรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมรัฐบาล หากเป็นเช่นนั้น พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยจะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านรวมกันกว่า 280 เสียง ทำให้รัฐบาลที่มีพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำ จะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่มีเพียงกว่า 210 เสียง ซึ่งขัดแย้งกับข้อเรียกร้องของพรรคประชาชนที่ต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ

ณัฐวุฒิ ตั้งข้อสังเกตต่อไปอีกว่า พรรคประชาชนจะกำกับควบคุมให้รัฐบาลพรรคภูมิใจไทยทำตามเงื่อนไขได้อย่างไร ในเมื่อรัฐบาลถืออำนาจบริหารอยู่ และบทบาทฝ่ายค้านจะเป็นอย่างไรหากโหวตให้เขามาเป็นนายกฯ แล้ว

“โมเดลของพรรคประชาชนจึงหมายถึงพรรคภูมิใจไทย เพราะหากเป็นพรรคเพื่อไทย ไม่ต้องมาประกาศจะโหวตให้ เขาก็เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากของเขาอยู่แล้ว” ณัฐวุฒิกล่าว

ด้านพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งนำโดย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านได้มีการประชุมหารือทิศทางการทำงานร่วมกัน โดยได้ข้อสรุป 4 ประเด็นหลัก เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ ได้แก่

1. กดดันให้รัฐบาลหยุดเดินหน้า หรือถอนร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถาบันเทิงครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) ออกไป และให้ความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีการเสนอกลับเข้ามาอีก

2. เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยหลักการคือการจัดทำประชามติครั้งที่ 0 เพื่อสอบถามประชาชนเรื่องการมี สสร. จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พร้อมกับการเลือกตั้งใหม่

3. พิจารณากฎหมายนิรโทษกรรม โดยจะตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาเพิ่มเติม เนื่องจากยังมีความเห็นต่างในรายละเอียด

4. ประเมินสถานการณ์ทางการเมืองและความชัดเจนของคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณากรณีนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ก่อนตัดสินใจยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151

ณัฐพงษ์ ยืนยันว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านทุกคนและหัวหน้าพรรคทุกคนได้หารือกันว่า ‘จะไม่ทำให้การเมืองเดินถึงทางตัน และประเทศต้องมีทางออก’ ส่วนกระแสข่าวการเสนอชื่อนายกฯ ชั่วคราว ณัฐพงษ์กล่าวว่ายังไม่เหมาะสมที่จะพูดล่วงหน้า เพราะสถานการณ์ยังไม่เกิดขึ้นจริง เนื่องจากนายกฯ ยังอยู่ในตำแหน่ง เขากล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่พรรคประชาชนเสนอไปนั้น เป็นข้อเสนอที่เชื่อว่าเป็นทางออกของประเทศอย่างแท้จริง ไม่ได้ยึดติดกับตัวบุคคลหรือพรรค แต่ยึดหลักการที่จะสร้างทางออกให้กับประเทศได้

ด้าน อนุทิน ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ชี้แจงว่าไม่มีการเสนอตัวเป็นนายกฯ อย่างที่เข้าใจผิด แต่ยอมรับในหลักการว่า หากมีใครเข้ามาเป็นนายกฯ ในสถานการณ์เช่นนี้ จะต้องเข้ามาด้วยระยะเวลาเฉพาะกิจ เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนได้ตัดสินใจ

ชัชชาติ เสนอร่างข้อบัญญัติคุมแสงป้าย LED หวังลด ‘มลภาวะทางแสง’

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้เสนอร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเพื่อกำหนดค่าความสว่างที่ออกจากป้าย LED โดยร่างข้อบัญญัตินี้ถูกเสนอต่อที่ประชุมสภากรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดผลกระทบจากแสงสว่างจ้าของป้ายโฆษณาที่รบกวนประชาชนและผู้ใช้รถใช้ถนน

ปัญหาแสงสว่างจากป้าย LED โดยเฉพาะบริเวณริมถนนและทางด่วน ได้รับการร้องเรียนจากชาวกรุงเทพฯ จำนวนมากว่ารบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการขับขี่ยานพาหนะ ปัจจุบันกฎหมายเดิมกำหนดไว้อย่างกว้างๆ เพียงว่าแสงต้องไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน หรือรบกวนการมองเห็นสภาพการจราจรของผู้ขับขี่ แต่ยังไม่มีหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนในการวัดค่าแสง ว่าระดับใดจึงจะถือว่าก่อความเดือดร้อนรำคาญ นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่ต้องมีการตราร่างข้อบัญญัติใหม่นี้ขึ้นมา

การสำรวจในพื้นที่กรุงเทพฯ พบว่ามีจอโฆษณา LED ขนาดใหญ่เรียงรายอยู่ตลอดสองฝั่งถนนหลายจุด เช่น บริเวณถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ซึ่งมีแสงสว่างจ้ามาก โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืน แม้จะเป็นภาพที่คุ้นตาในเมืองใหญ่ แต่แสงจากจอเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อสายตาและสมาธิของผู้ใช้รถใช้ถนนในระยะยาวได้

นอกจากนี้ มลภาวะทางแสงยังก่อให้เกิดปัญหาที่มองไม่เห็น ซึ่งรวมถึง ‘แสงเรืองบนท้องฟ้า’ (Sky Glow) ที่เกิดจากแสงประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นส่องขึ้นสู่ท้องฟ้าและกระเจิงกับโมเลกุลของอากาศ อนุภาคฝุ่นละออง หรือมลพิษ ทำให้ท้องฟ้าราวกับมีโดมแสงปกคลุมเมือง ท้องฟ้าไม่มืดสนิท และยากที่จะมองเห็นดวงดาว

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ยังเน้นย้ำถึงผลกระทบด้านสุขภาพจากมลภาวะทางแสง โดยระบุว่าแสงสว่างที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่อยู่อาศัยส่งผลต่อการนอนหลับและการหลั่งเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ช่วยควบคุม ‘นาฬิกาชีวิต’ (Circadian Clock) ของร่างกาย การรบกวนการนอนหลับเนื่องจากแสงอาจนำไปสู่การหลั่งเมลาโทนินที่ลดลง ส่งผลให้นาฬิกาชีวิตแปรปรวน และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง และมะเร็งเต้านม

นอกจากนี้ ข้อมูลจากการไฟฟ้านครหลวงระหว่างปี 2548-2558 แสดงให้เห็นว่ากรุงเทพฯ มีการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 24 ส่วนหนึ่งมาจาก การใช้แสงสว่างอย่างไม่ระมัดระวัง ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียพลังงานและเพิ่มการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ร่างข้อบัญญัติที่เสนอมานี้ ได้กำหนดค่าแสงสว่างที่ชัดเจนสำหรับป้าย LED โดยแบ่งตามช่วงเวลา:

  • ช่วงเวลา 07.00 น. ถึงก่อน 19.00 น. แสงที่ออกจากป้ายต้องมีค่าสูงสุดไม่เกิน 5,000 แคนเดลาต่อตารางเมตร

  • ช่วงเวลา 19.00 น. ถึงก่อน 07.00 น. ของวันรุ่งขึ้น แสงที่ออกจากป้ายต้องมีค่าสูงสุดไม่เกิน 500 แคนเดลาต่อตารางเมตร

หากพบว่าป้ายใดมีแสงเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จะถือว่าเป็นการรบกวนหรือเป็นอันตรายต่อการจราจร โดยผู้ว่าฯ จะมีอำนาจในการดำเนินการตามข้อบัญญัติได้ทันที ด้วยการใช้อุปกรณ์วัดแสงเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมาย

ที่ประชุมสภากรุงเทพมหานครได้มีมติเห็นชอบในหลักการรับร่างข้อบัญญัติดังกล่าวแล้ว และได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณาแปรญัตติภายใน 5 วัน และให้พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน ก่อนที่จะมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายท้องถิ่นต่อไป

ฝนถล่มกรุงเทพฯ ปริมณฑล และอีกหลายจังหวัด ทำคนวิตกกังวลเรื่องพายุ

ช่วงต้นสัปดาห์มีรายงานเหตุการณ์พายุลมแรงพัดถล่มในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ส่งผลให้เกิดความเสียหายในหลายจุด ซึ่งเกินความคาดหมายจากเพียงแค่ฝนตกหนัก สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นลมกระโชกแรงที่สร้างความเสียหายอย่างมาก

ในเขตกรุงเทพมหานคร ร้านค้าและสิ่งปลูกสร้างชั่วคราวได้รับความเสียหายอย่างหนัก บริเวณทางเท้าข้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เต็นท์ขายของถูกลมแรงพัดนานกว่า 3 นาที จนบางร้านต้านไม่ไหวต้องปล่อยให้พัง ข้าวของกระจัดกระจาย บริเวณแถบห้วยขวาง มีคนถ่ายคลิปรถเข็นของร้านค้าพลิกคว่ำ และมอเตอร์ไซค์ก็แทบจะเอาไม่อยู่

นอกจากนี้ โป๊ะเรือสะพานพุทธยังถูกแรงลมพัดจนเรือที่กำลังออกจากท่าติดอยู่กับโป๊ะ โดยมีผู้โดยสารอยู่บนเรือด้วย ห้างสรรพสินค้าเอ็มควอเทียร์ก็ได้รับผลกระทบ โดยอุปกรณ์ในลานขายสินค้านอกอาคารถูกพัดปลิว อุโมงค์ผ้าใบทางเข้าตัวอาคารที่เชื่อมกับรถไฟฟ้าบีทีเอสก็ได้ถูกลมพัดจนร่วงลงไปชั้นล่าง แม้แต่ตู้เอทีเอ็มหลายธนาคารก็ถูกลมพัดจนเอียง

ในพื้นที่รอบนอกของกรุงเทพฯ ก็ได้รับความเสียหายมากเช่นกัน โดยมีพายุหมุนลูกใหญ่พัดมาเหมือนเป็นช่องลม ทำให้สิ่งของปลิวหมุนขึ้นไปเหมือนในภาพยนตร์ ส่งผลให้เสาไฟฟ้าโค่นล้มถึง 5 ต้น ป้ายโฆษณาล้มหลายป้าย และต้นไม้ใหญ่ล้มขวางถนนทั้งสองฝั่ง รวมถึงบริเวณเกาะกลาง มีรถยนต์ถึง 4 คันได้รับความเสียหายจากการถูกป้ายและต้นไม้ล้มทับ ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่เล่าว่าไม่เคยเจอพายุที่รุนแรงเช่นนี้มาก่อน

อย่างไรก็ตาม กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศพยากรณ์อากาศล่าสุด (4 กรกฎาคม 2568) ว่า ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคตะวันออก มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ในขณะที่บริเวณประเทศไทยมีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนในบริเวณจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร และนครพนม ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม

ทั้งนี้เนื่องจากร่องมรสุมกำลังค่อนข้างแรงพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

สำหรับพายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ที่มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน คาดว่าจะเคลื่อนผ่านไต้หวัน ในช่วงวันที่ 7-9 กรกฎาคม 2568 โดยไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย และพายุนี้จะไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย

กระโดดเชือก ‘Squid Game’ ปรับกฎใหม่ หลังมีเสียงวิจารณ์เรื่องความปลอดภัย

จากกระแสตอบรับกิจกรรมจำลอง ‘เกมกระโดดเชือก’ ขนาดยักษ์ ซึ่งจัดขึ้นบริเวณลานคนเมือง เสาชิงช้า โดยนำแรงบันดาลใจมาจากซีรีส์ Squid Game ซีซั่นล่าสุด ได้มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม มีผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียบางรายเผยแพร่คลิปวิดีโอที่แสดงให้เห็นว่า มีเด็กบางคนล้มจากการเล่นเชือกเหวี่ยง ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์เรื่องความปลอดภัยของกิจกรรมดังกล่าว แม้จะมีการปูฟูกรองรับและมีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่แล้วก็ตาม

ล่าสุด ผู้จัดงานได้ออกมาตรการใหม่เพื่อเพิ่มระดับความปลอดภัย ได้แก่:

  • จำกัดผู้เข้าร่วมต้องมีส่วนสูง 150 เซนติเมตรขึ้นไป

  • มีการ ทบทวนกติกา ก่อนเข้าร่วมทุกครั้ง

  • ให้ผู้เล่น ทดลองกระโดดกับเชือกที่ความสูงจริง ก่อนขึ้นเวที

  • หากผู้เล่น ไม่สามารถกระโดดผ่านได้ในการหมุนรอบแรก จะขอให้ออกจากจุดเล่น เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ

กิจกรรมกระโดดเชือก Squid Game จัดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญโปรโมตซีรีส์จาก Netflix และจะเปิดให้ร่วมสนุกถึงวันที่ 6 กรกฎาคม 2568

‘หลิงหลิง’ โพสต์ขอโทษหลังมีประเด็นเรื่องล้อเลียนผู้พิการทางสายตา ซึ่งประเด็นดังกล่าวถูกนำไปพูดคุยและตั้งคำถามถึงภาพรวมของบริบทสังคมไทย

หลิงหลิง - ศิริลักษณ์ คอง นักแสดงชื่อดัง ได้สร้างประเด็นถกเถียงอย่างมากในโลกออนไลน์ หลังมีคลิปจากงานแฟนมีตที่ประเทศจีนปรากฏออกมา โดยในคลิปดังกล่าว หลิงหลิงได้หยิบร่ม สูท และแว่นกันแดด พร้อมแสดงท่าทางเลียนแบบผู้พิการทางสายตาด้วยรอยยิ้มและท่าทีที่ดูขบขันบนเวที ซึ่งมีเสียงหัวเราะจากแฟนคลับตอบรับ ก่อนที่พิธีกรจะหยอกล้อเตือนว่านี่คืออุปกรณ์สำหรับบทบาทบอดี้การ์ด จึงทำให้เธอหยุดการแสดง

การกระทำนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากชาวเน็ตว่าไม่เหมาะสม และมีผู้โพสต์คลิปพร้อมข้อความเรียกร้องให้เรียนรู้ที่จะเคารพเพื่อนมนุษย์

หลังจากนั้น หลิงหลิงได้ออกมาโพสต์ข้อความขอโทษอย่างเป็นทางการผ่านโซเชียลมีเดียของเธอ โดยแสดงความเสียใจ น้อมรับทุกคำวิจารณ์ด้วยความเคารพและสำนึกผิด เธอยืนยันว่าไม่เคยมีเจตนาที่จะล้อเลียนหรือดูหมิ่นผู้พิการทางสายตาแม้แต่น้อย และตระหนักว่าการกระทำของตนขาดความรอบคอบอย่างยิ่งในฐานะบุคคลสาธารณะที่ควรเป็นแบบอย่างที่ดี เธอกล่าวขอโทษต่อผู้พิการทางสายตาทุกคนในสังคมที่รู้สึกสะเทือนใจ และจะนำบทเรียนนี้ไปปรับปรุงตัวอย่างจริงจังในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ยังคงถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยังคงมีความไม่พอใจจากหลายมุมมอง และเป็นเรื่องยากสำหรับบุคคลสาธารณะที่จะหยุดเสียงวิจารณ์ของสังคมได้เมื่อเกิดความผิดพลาด ท่ามกลางกระแสลบ หลิงหลิงก็ยังได้รับการสนับสนุนจากแฟนคลับจำนวนหนึ่ง ที่ทั้งเข้าใจ เห็นใจ และเตือนสติเธอด้วยความรัก

ในแวดวงสนทนาที่ติดตามประเด็นนี้ มีการวิเคราะห์ถึงการที่หลิงหลิงแสดงท่าทางดังกล่าวว่า อาจเป็นผลมาจากบริบททางสังคมและสื่อบันเทิงไทย ซึ่งหลายคนมองว่าการล้อเลียนผู้พิการเป็นเรื่องปกติ เพราะเติบโตมากับการเห็นภาพยนตร์และละครไทยที่ใช้ความพิการเป็นมุกตลก หรือที่เรียกว่า ‘ตลกรูปลักษณ์’ หรือ ‘ตลกสังขาร’ มาอย่างยาวนาน

การกลั่นกรองความคิดอย่างรวดเร็วบนเวทีเพื่อสร้างความตลกให้แฟนคลับอาจมาจากกระบวนการขัดเกลาทางสังคมผ่านสื่อ ที่ทำให้คนคุ้นชินกับการเห็นการล้อเลียนลักษณะดังกล่าว

การล้อเลียนสังขารเป็นรูปแบบหนึ่งของการ body shaming ซึ่งพบเห็นได้บ่อยในชีวิตประจำวัน ไม่จำกัดเฉพาะผู้พิการ แต่รวมถึงลักษณะที่ไม่ตรงตาม beauty standards หรือสิ่งที่สังคมมองว่าไม่ปกติ เช่น คนที่มีสิว ผิวดำ ผมหยิก คนผอม หรือคนเตี้ย มักถูกทำให้เป็นตัวตลก

ท้ายที่สุด เพจ ‘ตุ๊ดรีวิว’ ได้ออกมาให้ความเห็นว่า ไม่ใช่เพียงหลิงหลิงที่ควรถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่ควรมีการยกระดับมาตรฐานสื่อไทยร่วมกัน เพื่อสร้างพลวัตในการนำเสนอที่ตระหนักถึงการล้อเลียนที่เข้าข่ายการเหยียดหยาม (discrimination/bullying) และกำหนดมาตรฐานใหม่ เพราะทุกคนสามารถผิดพลาดได้ แต่สิ่งสำคัญคือการระมัดระวังมากขึ้น มีความปรารถนาดีและใจดีต่อกันมากขึ้น ด้วยหัวใจที่เปิดรับและเข้าอกเข้าใจกัน เพื่อสร้างโลกที่น่าอยู่ขึ้น เพราะไม่มีใครอยากเป็นตัวตลกของใคร

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

Weekend Alert: ถอดสมอง พักหัวใจ แล้วให้ความรู้สึกทำงานไปกับกิจกรรมเหล่านี้

7 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ชวนมโนเรื่องนายกฯ ใหม่ ชัยเกษม อนุทิน หรือ ‘ลุงตู่’ รีเทิร์น

14 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Spotlight: ประเทศไทยเกิดอะไรขึ้นบ้างในสัปดาห์นี้ [30 มิ.ย.- 4 ก.ค. 2568]

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

ชวนมโนเรื่องนายกฯ ใหม่ ชัยเกษม อนุทิน หรือ ‘ลุงตู่’ รีเทิร์น

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

ไล่นายกฯ สำเร็จแล้วจบไหม? แน่ใจแค่ไหนว่าจะไม่สร้างเงื่อนไขใหม่ให้เกิดรัฐประหารอีกครั้ง

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส
ดูเพิ่ม