ปัดสวะประชุมสภาล่ม

“วันนอร์” เชื่อรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำไม่ทำงานนิติบัญญัติสะดุด “โฆษก รทสช.” แนะ รมต.หอบงานมาทำสภา “เท้ง” โต้เล่นเกมการเมือง สภาล่มเพราะ รบ.ไร้เสถียรภาพ “ศิริกัญญา” บอกวันแรกเป็นการเทสต์ระบบ เช็กจำนวน “เทพไท” ฟันธงอยู่ได้อีกไม่นาน

เมื่อวันที่ 4 ก.ค. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 3 ก.ค. นัดแรกล่ม ว่าการประชุมวันแรกที่ไม่ครบองค์ประชุม เนื่องจากเป็นการประชุมวันแรก และรัฐมนตรีมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ หลายคนที่เป็นรัฐมนตรีก็เป็น สส.ด้วย จึงไม่สามารถมาประชุมได้ ประกอบกับมีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญและ กมธ.วิสามัญอยู่ด้วย แต่เป็นหน้าที่ของ สส.ทุกคน ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลที่ต้องมาประชุมให้ครบองค์ประชุม

นายวันมูหะมัดนอร์กล่าวว่า การประชุมสภาฯ ครั้งถัดไปวิปฝ่ายค้านและวิปรัฐบาลควรคุยกัน ว่าจะทำอย่างไรให้องค์ประชุมสามารถเดินหน้าได้ เพราะนอกจากการปรึกษาหารือและการตั้งกระทู้ถามแล้ว ยังมีกฎหมายสำคัญที่ค้างการพิจารณาหลายฉบับ รวมถึงรายงานการปฏิบัติหน้าที่ของ กมธ.อีกหลายชุด ซึ่งหากต่อไปมีการนับองค์ประชุมแบบนี้ การประชุม กมธ.อาจต้องไปประชุมวันอื่นที่ไม่ใช่วันพุธและวันพฤหัสบดี และต้องดูเวลาให้เหมาะสม อันนี้ต้องแก้กันไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อรัฐบาลที่มีเสียงปริ่มน้ำอาจต้องโดนนับองค์ประชุมตลอด ควรแก้ปัญหานี้อย่างไร นายวันมูหมัดนอร์ระบุว่า รัฐบาลจะเสียงข้างมากหรือเสียงปริ่มน้ำคงไม่เกี่ยวกับการประชุม เพราะรัฐบาลเสียงข้างมากก็ล้มได้หากสมาชิกอยู่ในห้องประชุมไม่ครบ ส่วนนี้ต้องปรับ สภาต้องดำเนินการประชุมตามระเบียบวาระ องค์ประชุมเป็นหน้าที่ของ สส.ทุกคน

เมื่อถามว่า จะทำให้การทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติสะดุดลงหรือไม่ ประธานสภาฯ ชี้ว่า คงไม่มีปัญหา ทุกคนที่เป็นสมาชิกคงอยากให้การประชุมเดินไปด้วยดี และปัญหาที่เกิดขึ้นคงต้องแก้

ต่อข้อถามว่า การที่นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ชิงปิดประชุมก่อนรู้ผลองค์ประชุมเหมาะสมหรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์กล่าวว่า ประธานในที่ประชุมจะพิจารณาดูว่า ถ้าประชุมต่อไปจะครบองค์ประชุมหรือไม่ ถ้านับไปไม่ครบ การปิดประชุม พักการประชุม หรือนับองค์ประชุมก็สามารถทำได้ เป็นกระบวนการของสภาที่สามารถทำได้ เพราะเห็นว่าถ้านับองค์ประชุมไปก็เสียเวลา เมื่อปิดประชุมไปจะได้ไปทำกิจกรรมอย่างอื่น จึงสามารถเลิกประชุมก่อนได้

เมื่อถามถึงข้อเสนอให้มีนายกฯ เฉพาะกิจ เพื่อให้ผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ไปก่อนนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ตอบว่า ในฐานะประธานสภาฯ ต้องเป็นกลางทางการเมือง การคุยและปรับปรุงรัฐบาลเป็นหน้าที่ของแต่ละฝ่าย ตนไม่สามารถแสดงความเห็นว่าเหมาะสมหรืออย่างไรได้ ถ้าไปตามกรอบรัฐธรรมนูญ ข้อบังคับและกฎหมาย ทุกฝ่ายสามารถดำเนินการได้ ประชาธิปไตยเป็นอย่างนี้ สามารถปรับได้เพื่อประโยชน์ของประชาชน

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ฝ่ายรัฐบาลมีเสียงเกินจากกึ่งหนึ่งน้อยกว่าคนที่ไปเป็นรัฐมนตรี เมื่อฝ่ายค้านรู้จึงเสนอนับองค์ประชุม ดังนั้นในการประชุมสภาครั้งถัดไป สส.ที่เป็นรัฐมนตรีทุกคนต้องมาอยู่ที่สภา ไม่ใช่แค่วันพุธวันเดียว เพราะหลังจากนี้ฝ่ายค้านคงจะเช็กองค์ประชุมในลักษณะนี้อีก เพราะรู้ว่ารัฐบาลเสียงปริ่มนํ้า สส.ที่เป็นรัฐมนตรีต้องมาอยู่สแตนด์บาย และนั่งทำงานที่สภาทุกวันพุธและพฤหัสบดี ไม่เช่นนั้นเสียงก็ไม่พอ

“ถ้ารัฐมนตรีอยากจะอยู่บริหารงานนานๆ ก็ต้องมาประชุมและทำงานที่สภา แต่ถ้าไม่อยู่ เช็กองค์ประชุมแล้วล่ม สภาและรัฐบาลก็เดินหน้าต่อไม่ได้” นายอัครเดชระบุ

ส่วนกรณีนายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุเหตุการณ์สภาล่ม สส.เพื่อไทยมาเกือบครบ แต่ สส.พรรคร่วมรัฐบาลหายไปเยอะนั้น นายอัครเดชชี้แจงว่า ไม่รู้หรอกว่าพรรคไหนมาเยอะหรือน้อย เพราะไม่มีการแสดงตน เนื่องจากนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง สั่งปิดการประชุมไปก่อน จึงไม่ทราบว่าใครมาหรือไม่มา ดังนั้นจะบอกว่าพรรคร่วมฯ ขาดมากกว่าก็ไม่ได้

นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค รทสช. กล่าวว่า ไม่ควรเล่นเกมการเมืองจนเกินไป ขอให้ห่วงใยใส่ใจบ้านเมืองก่อน ซึ่ง สส.ควรทำหน้าที่ในเวลาที่มีอยู่ให้ดีที่สุด

นายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.มหาดไทย ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า ในสภาพรรค ปชป.จะมีเสียงครบ เพราะเป็นมติพรรคทุกคนต้องปฏิบัติตาม พรรค ปชป.มี 25 เสียงอย่างแน่นอน

เมื่อถามว่า ในการโหวตจะไม่มีผิดพลาดใช่หรือไม่ นายเดชอิศม์ยืนยันว่า ไม่ผิดพลาด เมื่อถามอีกว่าถ้ามีคนงดออกเสียง จะถือเป็นความผิดหรือไม่ มีบทลงโทษหรือไม่ นายเดชอิศม์ตอบว่า ถือว่าไม่ได้ปฏิบัติตามมติพรรค ซึ่งอาจมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูข้อเท็จจริงว่ามีเหตุผลอะไร เพราะมติพรรคกับเอกสิทธิ์ สส.จะต้องแยกกัน

ส่วนการประชุมสภาวันแรกที่สภาเกือบล่มนั้น เลขาธิการพรรค ปชป.ระบุว่า จำนวนคนในรัฐบาลน้อยลง ก็ต้องมีการกำชับมากขึ้น และต้องเข้มงวด ส่วนเรื่องเสียงปริ่มน้ำนั้น สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีเสียงปริ่มน้ำมากกว่านี้ ซึ่งต้องกำชับ ถ้าทุกคนรับผิดชอบในเรื่องการประชุมสภา เชื่อว่ารัฐบาลสามารถไปได้ หากว่างเว้นจากการทำงาน จากการทำงานต่างจังหวัด จากการทำงานต่างประเทศ ก็ไปสภาเลย

ขณะที่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ชี้แจงกรณีมีการเสนอขอนับองค์ประชุมว่า ไม่เป็นมติของวิปหรือพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพียงแต่เป็นการเสนอให้นับองค์ประชุมจากพรรคฝ่ายค้าน ยืนยันว่าไม่ได้เป็นเกมที่พรรคฝ่ายค้านหารือ หรือเป็นมติออกมาขนาดนั้น แต่โจทย์ที่สำคัญกว่าคือ รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ตราบใดที่รัฐบาลมีเสียงมากเพียงพอ ไม่ว่าจะขอนับองค์ประชุมเมื่อไหร่ ก็ไม่มีทางล่มแน่นอน

“ไม่ว่าเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ผลจะปิดประชุมอย่างไร แต่ข้อเท็จจริงคือสภาล่ม สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลขาดเสถียรภาพ ไม่สามารถเดินหน้าแก้ปัญหา รวมถึงประชุมในครั้งสำคัญในทุกครั้งก็จะเกิดสภาพแบบนี้ รวมถึงจะเป็นเงื่อนไขในการที่พรรคร่วมรัฐบาลอื่นเอามาต่อรองกับพรรคเพื่อไทยมากขึ้น” หัวหน้าพรรค ปชน.ระบุ

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค ปชน. กล่าวว่า จริงๆ แล้ววันแรกเรายังคาดหวังว่าทางฝั่งรัฐบาลน่าจะอยู่กันอย่างครบถ้วน แม้ว่าจะมี สส.บางคนไปรับตำแหน่งรัฐมนตรี แต่เป็นส่วนน้อย ต่างกันประมาณ 30 เสียง อย่างไรก็ต้องรักษาองค์ประชุมได้ แต่เมื่อมีการขอนับองค์ประชุม ปรากฏว่าไม่ได้เตรียมตัวมาในช่วงนี้ และคงเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนักในการโหวตกฎหมายที่สำคัญๆ ในครั้งต่อไป คงต้องมีการเตรียมความพร้อมมากกว่านี้

ฝ่ายค้านแค่เช็กเสียง รบ.

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถือเป็นการทดสอบเสียงรัฐบาลหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญาตอบว่า ไม่ได้นัดกันมากับทางพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพราะเราคิดว่าวันแรก สส.คงมากันครบแน่ คงมีการกำชับกันหลายรอบ แต่เมื่อมีการทดสอบแล้วสภาล่ม ยิ่งแสดงถึงความไม่มีเสถียรภาพ ความง่อนแง่นของสถานะทางฝั่งรัฐบาล

รองหัวหน้าพรรค ปชน.กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 9 ก.ค. เป็นวันที่ต้องมีการโหวตกฎหมาย โดยมีร่าง พ.ร.บ.การประกอบสถานบันเทิงครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) เข้าเป็นลำดับแรก ไม่ว่าจะมีการขอถอนหรือไม่ แต่จะต้องมีการโหวตว่าจะยอมให้ถอนหรือไม่ให้ถอน คิดว่าเราต้องเดินหน้าโหวตไปเลย สำหรับกฎหมายฉบับนี้ หากถอนไปแล้วไม่ได้มีการแก้ไขก็ไม่ควรถอน ดังนั้นเมื่อเข้าสู่วันที่ 9 ก.ค. จะเข้าสู่โหมดนับองค์ประชุมโดยปกติอยู่แล้ว ฉะนั้นจะต้องมีการเช็กเสียงกันอีกครั้ง

ซักว่ากังวลหรือไม่ อาจถูกมองว่าฝ่ายค้านเล่นเกมเกินไป น.ส.ศิริกัญญาชี้แจงว่า ในสภาวะเช่นนี้ไม่ได้มองว่าเป็นการเล่นเกมทางการเมือง เราทราบอยู่ว่าเสียงค่อนข้างที่จะปริ่มกัน ดังนั้น ต้องมีการเช็กเสียงกันเป็นเรื่องธรรมดา สมัยฝ่ายค้านร่วมกับเพื่อไทย เราก็เรียนรู้ในการใช้แท็กติกต่างๆ ที่จะใช้เช็กเสียงพรรคร่วมรัฐบาล

เมื่อถามถึงกรณีประธานสภาฯ ระบุการทำให้องค์ประชุมครบเป็นหน้าที่ของ สส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล น.ส.ศิริกัญญาบอกว่า เราเข้าใจ แต่เมื่อเป็นการโหวตกฎหมายสำคัญที่ส่งมาจาก ครม. รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้อยู่แล้ว เราแค่พยายามตรวจสอบว่าสรุปแล้วเสียงของรัฐบาลมีเท่าไหร่กันแน่ แต่ไม่ทันไรประธานในที่ประชุมก็ชิงปิดประชุม จึงไม่ทราบว่าตกลงแล้วเสียงของรัฐบาลมีเท่าไหร่

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์คลิปพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เทพไท-คุยการเมือง ระบุว่า… สภาล่มวันแรก ลางร้ายรัฐบาลอิ๊งค์ 2

นายเทพไทระบุว่า รัฐบาลชุดนี้ หลังจากพรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกไปเป็นฝ่ายค้าน ทำให้เกิดรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ไม่มีเสถียรภาพ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรหมิ่นเหม่ต่อองค์ประชุมไม่ครบ สส.พรรคฝ่ายค้านลุกขึ้นใช้สิทธิ์ขอนับองค์ประชุมเมื่อไหร่ สภาล่มเมื่อนั้น เพราะเสียงเกินครึ่งไม่กี่เสียง ประกอบกับ สส.ฝ่ายรัฐบาลขาดวินัย มี สส.ส่วนหนึ่งไปเป็นรัฐมนตรี เมื่อติดภารกิจก็ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้

“แม้ว่าประธานวิปรัฐบาลจะออกกฎเหล็ก ห้ามลา ห้ามขาด ห้ามป่วย และห้ามตาย แต่วันแรกของการประชุมสภาก็ล่มทันตาเห็น เชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้จะไปต่อได้อีกไม่นาน เสียงปริ่มน้ำในสภา สภาพนอกสภาก็ขาดศรัทธาจากประชาชน ประชาชนไม่เชื่อมั่น ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เห็นได้จากวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ นักลงทุนขานรับ มีความเชื่อมั่น ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้นทันที” เขาระบุ

นายเทพไทยังเสนอว่า "ผมสนับสนุนให้มีการยุบสภา ใช้โมเดลเดียวกับรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน เมื่อรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว แถลงนโยบายภายใน 9 วัน หลังจากนั้น 8 วันประกาศยุบสภาเพื่อการเลือกตั้ง หลังจากนั้นประเทศจะมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกฝ่าย ถ้าขืนให้รัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศต่อไป จะล้มละลายในความน่าเชื่อถือ ประกอบกับสภาพในสภาผู้แทนราษฎรไม่อยู่ในสภาพที่ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติได้ จึงเรียกร้องให้ยุบสภา คืนอำนาจให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุด".