เอกา โกลบอล ปรับกลยุทธ์เร่งเครื่องตลาดอินเดียรับมือภาษีทรัมป์
เอกา โกลบอล เปิดเผยกลยุทธ์เชิงรุกรับมือสงครามการค้าและนโยบายขึ้นภาษีทรัมป์ เพิ่มยอดขายในตลาดอินเดีย หาโอกาสในตลาดใหม่กระจายเสี่ยงส่งออกไปสหรัฐฯมอง “ตะวันออกกลาง” น่าสนใจ
นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอกา โกลบอล กล่าวว่า ตลาดอินเดียยังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพและแนวโน้มการเติบโตที่ดี บริษัทฯ ได้เริ่มลงทุนในอินเดียตั้งแต่ปี 2562 และก่อตั้งโรงงานที่เมืองปูเน่ ซึ่งเริ่มเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ด้วยกำลังการผลิต 300 ล้านชิ้นต่อปี
เมื่อปลายปี 2567 ที่ผ่านมา ตลาดอินเดียมีการเติบโตสูงถึง 30-40% ต่อปี และในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายเพิ่มขึ้นเกือบ 50% ส่งผลให้คาดการณ์ว่ายอดขายในอินเดียทั้งปี 2568 จะสูงถึงกว่า 400 ล้านบาท
สำหรับเป้าหมายระยะยาว 3-5 ปี เอกา โกลบอล ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าในอินเดียเพิ่มขึ้นเป็น 800 ราย จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 300 ราย ส่วนการลงทุนเพิ่มเติมจะพิจารณาตามสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจ โดยโรงงานปัจจุบันมีพื้นที่ที่เตรียมไว้สำหรับการขยายไลน์ผลิตในอนาคต
นายชัยวัฒน์ประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ว่า ประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบเนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกเป็นสัดส่วนสูง และมีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูงถึง 20–30% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ส่วนกลุ่มลูกค้าของเอกา โกลบอล มีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ กว่า 70%
"จากการพูดคุยกับลูกค้า พบว่าผลกระทบนี้อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากอัตราภาษีของไทยจบลงที่ 35-36% คาดการณ์เบื้องต้นจะทำให้ยอดขายมีโอกาสลดลงไม่ต่ำกว่า 10–15% ซึ่งไทยจะเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านเพราะสัดส่วนภาษีสูงกว่า ทำให้แข่งขันได้ยาก"
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ และกลุ่มลูกค้ายังคงเฝ้าติดตามผลการเจรจาภาษีของแต่ละประเทศ เพื่อให้ได้อัตราภาษีสุดท้ายก่อนที่จะปรับกลยุทธ์และเตรียมแนวทางทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
สำหรับเป้าหมายยอดขายรวมทั้งปีนี้ เอกา โกลบอลตั้งไว้ที่ 1,400 ล้านบาท แม้ว่าภาพรวมยอดขายครึ่งปีแรกยังคงเติบโตได้ดีตามเป้ากว่า 10–15% จากปีก่อน แต่ด้วยสถานการณ์สงครามภาษีของทรัมป์ที่ยังไม่สิ้นสุด ทำให้บริษัทยังมองภาพไม่ชัดเจนนัก และอาจมีการพิจารณาลดเป้าลงตามสถานการณ์
ในระยะสั้น 3 เดือนนี้ ผลกระทบจากภาษีทรัมป์จะยังไม่ส่งผลต่อยอดขายโดยตรง เนื่องจากทุกประเทศได้รับผลกระทบ และเอกา โกลบอล มีคำสั่งซื้อล่วงหน้า โดยลูกค้าหลักอยู่ในอุตสาหกรรมอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-To-Eat) และอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม (Pet-Food) ซึ่งเน้นบรรจุภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมสูง ทำให้การปรับเปลี่ยนคำสั่งซื้อไปยังประเทศใหม่เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
อย่างไรก็ตาม เอกา โกลบอลจะประเมินสถานการณ์เป็นระยะสั้น ๆ ทุก 2–3 เดือน ไปจนกว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องภาษี หลังจากนั้นในระยะยาว บริษัทฯ จะประเมินและวางแผนรับมือร่วมกับลูกค้าอีกครั้งว่าจะมีการปรับกลยุทธ์การส่งออกไปยังสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ อย่างไร
ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่เผชิญความท้าทายจากกำลังซื้อที่ชะลอตัว รวมถึงปัจจัยเสี่ยงจากสงครามภาษีของทรัมป์ บริษัทฯ เตรียมรุกตลาดในประเทศอินเดียมากขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดที่มีโอกาสขยายตัวได้ดีและไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายภาษีของทรัมป์ เนื่องจากอินเดียเน้นการขายภายในประเทศเป็นหลักกว่า 80%
นอกจากนี้ เอกา โกลบอลยังมองหาโอกาสขยายตลาดใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นตลาดที่น่าสนใจอย่างมาก เพราะการส่งออกจากอินเดียไปตะวันออกกลางจะไม่มีภาษี โดยบริษัทฯ ได้เริ่มศึกษาตลาดนี้แล้วและคาดว่าหากประสบความสำเร็จจะสามารถเข้าสู่ตลาดได้ภายใน 2–3 ปี
นายชัยวัฒน์กล่าวทิ้งท้ายว่า "เราเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ช่วยยืดอายุอาหารที่มีนวัตกรรมสูง ซึ่งการเข้าไปทำตลาดใหม่ ๆ เราจะทำการศึกษา วิจัย และพัฒนาร่วมกับลูกค้า คาดว่าจะใช้เวลา 2–3 ปี จึงจะทราบผลลัพธ์ที่ชัดเจนว่าสามารถเข้าสู่ตลาดใหม่ได้สำเร็จหรือไม่"