โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

The Decorum: ร้านสูทที่มอง ‘ความคลาสสิก’ เป็นเสาหลัก แต่ไม่ใช่ทุกอย่างของพวกเขา

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ภาพไฮไลต์

ภาพถ่ายโดย: จิตติมา หลักบุญ

‘สูท’ สามารถเป็นอะไรได้บ้าง

ตามที่เราส่วนมากเข้าใจ เครื่องแต่งกายที่อยู่กับมนุษย์มานานหลายร้อยปีนี้คือสิ่งที่เราใส่ตามโอกาสทางสังคม ใส่ไปในโอกาสสำคัญๆ ที่เรียกร้องความสุภาพและความเป็นมืออาชีพ อาจจะเป็นงานแต่ง อาจจะเป็นงานสัมมนาที่เราไปพบเจอกับผู้คนในหลากหลายชาติ หรือในการทำงานบางรูปแบบที่มีมาตรฐานการแต่งตัวชัดเจน เช่นนั้นแล้ว ‘สูท’ มักถูกผูกโยงกับ ‘แบบแผน’ อยู่เสมอ และแบบแผนทำให้มันดูเป็นเครื่องแต่งกายที่น่าเกรงขามและดูเข้าถึงยากเกินไป

สิ่งที่น่าสนใจคือเมื่อราว 2 ปีที่ผ่านมา มีความเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงในเทรนด์แฟชั่นทั่วโลก นั่นคือเสื้อผ้าย้อนยุคจำนวนมาก (ที่จริงๆ ก็ไม่ได้เคยหายไปจากตู้เสื้อผ้าของผู้คน) กลับกลายเป็นเทรนด์ที่พุ่งแรง ไม่ว่าจะเป็นกางเกงยีนส์ผ้าดิบที่ผลิตด้วยวิธีการดั้งเดิม เสื้อผ้าทางการทหารและแรงงานเก่าๆ ถูกจับมารีมิกซ์ใหม่ และที่สำคัญคือเทรนด์ Old Money และ Quiet Luxury เทรนด์การแต่งตัว ‘ผู้ดี’ ที่ส่งอิทธิพลทั่วโลก

กระแสดังกล่าวทำให้เกิดความสนใจเกี่ยวกับ ‘สูท’ มากขึ้น ทำให้เกิดบทสนทนาว่าเครื่องหมายของ Menswear นี้แม้มองไกลๆ จะดูมีโครงร่างที่ตายตัว แต่แท้จริงมันมีรายละเอียดที่สนุกสนาน แถมยังฉูดฉาดได้โดยไม่ละทิ้งความจริงจัง และหากต้องการ มันสามารถเป็นเครื่องแต่งกายที่เราใส่ได้ในทุกวัน

ซอยอารีย์สัมพันธ์ 5 ตอนเช้าเงียบเชียบ ซอยที่ร้านอาหารไทยพื้นๆ สลับกับคาเฟ่และอาหารต่างชาติกับตึกที่อยู่อาศัยนี้มีร้านที่ดึงสายตาของเราอยู่คือ The Decorum Bangkok ร้านที่มีลักษณะเหมือนกล่องคอนกรีตและกระจกที่อบอุ่นด้วยต้นไม้ที่รายล้อม บรรจุอยู่ข้างในคือเสื้อผ้าที่หน้าตาคุ้นตา เช่น เชิ้ต แจ็กเก็ตสูท กางเกงยีนส์ เน็กไท ฯลฯ แต่ว่ามองปราดเดียวก็รู้ว่าพวกมันห่างไกลจากคำว่าธรรมดาอยู่มาก อาจจะเพราะการออกแบบที่เก๋แบบไม่ตะโกนป่าวประกาศ หรือวัสดุที่งดงามทนทานในตัวของมันเอง

นอกจากเสื้อผ้า ข้างในร้านยังมี กาย-ศิรพล ฤทธิประศาสน์ และ บอล-วรงค์ ภัทรชัยกุล สองผู้ร่วมก่อตั้ง The Decorum แม้จะเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อคืนก่อนหน้าและเตรียมเดินทางอีกครั้งในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แต่ทั้งสองก็แต่งตัวมาเต็มยศเพื่อมานั่งพูดคุยเกี่ยวกับร้านเสื้อผ้าของพวกเขา รวมถึงการแต่งตัวแบบเทเลอร์ริ่ง และมุมมองของพวกเขาต่อแฟชั่นประเทศไทย

กาย-ศิรพล ฤทธิประศาสน์ และ บอล-วรงค์ ภัทรชัยกุล สองผู้ร่วมก่อตั้งร้านเสื้อผ้า The Decorum

กาย-ศิรพล ฤทธิประศาสน์ (ซ้าย)และ บอล-วรงค์ ภัทรชัยกุล (ขวา)

The Decorum: A Classic With A Twist

ด้วยความที่มันเป็นเครื่องแต่งกายที่หลายๆ คนต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ร้านตัดสูทและเสื้อผ้าเทเลอร์ริ่งมีอยู่มากมาย คำถามที่เกิดขึ้นมาคือ แล้วอะไรคือสิ่งที่แยกให้ The Decorum โดดเด่นกว่าร้านอื่น

“ผมว่าเสื้อผ้า The Decorum คือเสื้อผ้าที่คลาสสิกแต่มีการบิดรูปแบบไป (Classic with a Twist) คือมันมีพาร์ตที่เป็นคลาสสิกและเป็น Sartorial Tailoring ไปเลย แต่ก็มีส่วนที่ Casual มากๆ เพราะพี่กายก็อยากเอาสิ่งใหม่ๆ มานำเสนอทุกๆ ซีซั่น” บอลบอกกับเราเมื่อถามถึงนิยามเสื้อผ้าที่อยู่ใน The Decorum

ในร้านที่แดดเช้าส่องเข้ามาที่หน้าต่างบันไดกระทบพื้นไม้และพรมวินเทจมีเสื้อผ้ามากมายถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ราวแจ็กเก็ตสูท ราวเสื้อเชิ้ต ราวเน็กไทข้างประตู และห้องรองเท้าหนังข้างๆ นำเสนอเสื้อผ้าคลาสสิก Menswear ส่วนบนโต๊ะกลางมีทั้งเสื้อยืดคอตตอนและไหมพรมของแบรนด์ร้านวางคู่กับกางเกงยีนส์ที่ทางร้านร่วมออกแบบกับแบรนด์ Fullcount ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้บุกเบิกยีนส์ญี่ปุ่นอย่าง Osaka 5

“จริงๆ มันเริ่มมาคลาสสิกมาก ตอนนั้นเราชอบเสื้อผ้าแบบนั้น แต่หลังเปิดไปเราก็เจอเวย์ที่เป็นตัวเราที่สุด สไตล์แบบที่เราสบายใจที่จะใส่” กายพูด ทั้งคู่เล่าว่าในตอนแรกร้านแห่งนี้ ‘อนุรักษนิยม’ กว่านี้มาก ในแง่ที่ว่ามักขายเพียงเชิ้ต และแจ็กเก็ตกับกางเกงสูทอิตาเลียนจ๋าๆ แต่เมื่อเวลาผ่านมามีการปรับเปลี่ยนให้นำสิ่งใหม่ๆ ที่ทั้งสองคนสนใจเข้ามาเพิ่มเติม

“กาลเวลาผ่านไป ธุรกิจหรือสไตล์ของคนมันก็มีการวิวัฒนาการ ผมคิดว่าหลายๆ คนเองในการเริ่มต้นก็จะมีเสาหลักที่เขายึดมั่นและมีหลักการของเขาอยู่ แต่ผมคิดว่าการที่เราจะทำให้คนเข้าใจเราได้ การที่เราจะมูฟไปกับยุคต่างๆ ได้ มันต้องมีการเปลี่ยนแปลงนิดๆ หน่อยๆ ซึ่งต้องเปลี่ยนโดยไม่ทิ้งของเก่า” กายว่า

มุมมองการทำธุรกิจของเขาสะท้อนไปกับวิธีการมองเสื้อผ้าของเขาเอง ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ที่การแต่งตัวแบบนี้กายเปลี่ยนผ่านสไตล์มาหลากหลายยุค มีช่วงเด็กที่เคยติดแบรนด์ หรือช่วงมหาวิทยาลัยที่เขาหลงใหลในประเทศญี่ปุ่นก็เริ่มสนใจเสื้อผ้าของ Comme Des Garçons ที่มุ่งเน้นการเล่นกับดีไซน์ที่ฉูดฉาดมากกว่า จุดเปลี่ยนของกายอยู่ตรงที่เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองถึงช่วงชีวิตที่ควรจะมีสไตล์ที่นิ่งแล้ว จึงหันมาศึกษาการใส่เสื้อผ้าเทเลอร์ริ่งอย่างเต็มตัว ส่วนบอลมีความสนใจในเสื้อผ้าที่ได้รับอิทธิพลมาจากชนชั้นแรงงานหรือ Workwear

แม้จะเปิดร้าน The Decorum ที่มีความคลาสสิก แต่ความสนใจในสไตล์สนุกๆ ของกายและบอลก็ไม่ได้หายไปเสียหมด เขาใช้สายตาและรสนิยมเหล่านั้นเข้ามาอยู่ในรูปแบบของ Concept Store อื่นๆ เช่น The Decorum Bibliotheque ร้านที่มองแฟชั่นร่วมสมัยและเสื้อผ้าของเพศอื่นๆ มากขึ้น และ Club Luminaries ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับ The Decorum เพียงเดินไปไม่ถึงนาทีเท่านั้น

“ร้านเหล่านี้ยังมีความคลาสสิกอยู่ แต่ในขณะที่ The Decorum จะมีความเป็นอิตาเลี่ยนคลาสสิกเลย ในขณะที่ Club Luminaries จะสนุกสนานขึ้น ราคาเข้าถึงได้กว่า มีดีไซน์มากขึ้น ท้าทายขึ้น แต่ว่าก็ยังมีรากของความคลาสสิก” กายพูด เขาไล่เรียงแบรนด์ที่อยู่ในร้าน เช่น Universal Overall เสื้อผ้า Workwear ยอดฮิต, J. Press เสื้อผ้า Preppy ที่กายนิยามว่าคือ “เสื้อผ้าลูกคุณหนูอยากสนุก”, Rowing Blazers ที่เขาเรียกว่า ‘Neo-Preppy’ และ Drôle de Monsieur แบรนด์เสื้อผ้าฝรั่งเศสที่ผสมผสานความหรูหรายุโรปเข้ากับอเมริกัน

“ถ้าวันหนึ่งคนคนหนึ่งต้องไปปาร์ตี้ แล้วเขาอยากเป็นผู้ชายที่สนุกสนานได้มากขึ้น ก็จะหยิบเสื้อสักตัวที่ได้มาจาก Club Luminaries ไปใส่ร่วมกันกับสูทของ The Decorum เพื่อจะไปใส่ในโอกาสที่ไม่ต้องเนี้ยบสุดๆ ซึ่งมันจะสะท้อนตัวตนของเขาที่มีความคลาสสิกอยู่ แต่ก็สะท้อนรสนิยมที่จะยังอยากสนุกไปด้วย” กายพูด

แม้มองโดยผิวเผินร้านทั้งสองจะแตกต่างกันอย่างมาก บางอย่างในใจของเรากลับรู้สึกได้ถึงความเป็นปึกแผ่นและเป็นชิ้นเป็นอันของทั้งคู่ เนื่องจากความคลาสสิกและความขี้เล่นดังกล่าวถูกจัดวางไว้อย่างดีภายใต้วิสัยทัศน์และรสนิยมส่วนตัวของผู้ร่วมก่อตั้ง

Making Tailoring Approachable

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสื้อผ้ารูปแบบที่ The Decorum ขายนั้นดูมีกำแพงมากมายกว่าจะเข้าถึงได้ สูทดีๆ จำนวนมากเป็นสินค้าราคาสูง แม้จะมองโดยผิวเผิน สูทที่หน้าตาเหมือนกันก็มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ต่างกันมากมาย แขนควรยาวไม่เกินไหน ลำตัวต้องยาวไม่เกินไหน ทรงแบบไหนแน่นไป ทรงแบบไหนหลวมไป ฯลฯ

นอกจากนั้น ด้วยความที่มันเป็นเครื่องแต่งกายที่อยู่กับมนุษย์มานาน สูทมักถูกผูกโยงกับมารยาทและกฎเกณฑ์การสวมใส่อีกต่างหาก จะหาไกด์ต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต เราก็เห็นว่ามีคอนเทนต์มากมายที่บอกว่าทำแบบไหนได้ ทำแบบไหนไม่ได้ แถมแต่ละเว็บต่างก็พูดไม่เหมือนกัน

สองผู้ก่อตั้ง The Decorum เองก็รู้และเข้าใจในข้อจำกัดนี้ พวกเขาจึงมีช่องทางที่หลากหลายในการพยายามลดข้อสงสัย ทั้งการมีส่วน Tribune ติดตั้งอยู่ในเว็บไซต์เพื่อเป็นช่องทางให้คนสามารถเข้าไปอ่านทำความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เครื่องแต่งกาย ผ้า ประเภทรองเท้า ฯลฯ และมีช่อง The Decorum Channel ที่มีคอนเทนต์ตั้งแต่แนะนำสินค้า สัมภาษณ์ผู้คน ไปจนถึงแนะนำพื้นฐานการใส่สูท

คีย์เวิร์ดสำคัญคือคำว่า ‘แนะนำ’ ในสายตาของบอลและกาย กฎของสูทนั้นแยกย่อยก็จริง แต่ส่วนมากไม่ใช่สิ่งตายตัว “ผมว่ามันมีเรื่องของทั้งกฎทั้งรสนิยม ร้านมองว่าพวกสัดส่วนเป็นเรื่องของรสนิยม เป็นสิ่งที่เรานำมาปรับให้เหมาะกับตัวคนใส่ ให้มันดูดีในสายตาพวกเรา” กายเสนออย่างนั้น เขาเชื่อว่าสัดส่วนและความพอดีคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดูสูท การมีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวเกินไปอาจขัดกับความสำคัญนั้นได้

อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังมองว่ากฎบางอย่างก็ยังมีอยู่จริงๆ “สำหรับผม กฎมันเป็น Etiquette หรือมารยาททางสังคม ในขณะที่สัดส่วนคือรสนิยมเจ้าของร้านที่เราอยากแนะนำให้คนใส่แบบนี้ แต่ Etiquette คือพวกเกณฑ์ต่างๆ ที่ถ้าเราทำตามมันจะทำให้คุณดูแต่งตัวเหมาะสมในที่ที่คุณไป” กายพูดพร้อมแนะนำว่ากฎมีไว้เพื่อเป็นหลักยืน และผู้สวมสูทสามารถเลือกเองได้ว่าจะนำเสนอตัวเองแบบไหน “มันทำให้คุณมีตัวเลือก ถ้ารู้กฎแล้วไม่อยากให้คนตัดสินคุณ คุณก็แต่งตามมารยาท แต่ว่าถ้าคุณอยากนำเสนอตัวเองว่าเป็นคนนอกกรอบคุณก็นำเสนอตัวเองอย่างนอกกรอบ”

“ผมมองว่ากฎมันเป็นแค่ไกด์ไลน์ มันไม่จำเป็นว่าเราต้องไปตามกฎตรงนั้นตรงนี้มากขนาดนั้น” บอลพูด สำหรับเขาแล้วการรู้หลักทำให้เราแต่งตัวไม่สะเปะสะปะ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นช่องทางที่เราสามารถใช้บิดหลักการเหล่านั้นได้ด้วย “พอเรารู้แล้วเราก็บิดมันนิดๆ หน่อยๆ เราว่ามันก็จะกลายเป็นสไตล์และเป็นความชอบส่วนตัวของแต่ละคนไป ผมว่ามันไม่ได้ตายตัวแบบนั้น ผมว่ารู้กฎเอาไว้เพื่อทำให้แต่งตัวสนุกกว่า”

ในสายตาของทั้งสองผู้ก่อตั้ง คำแนะนำในการเริ่มแต่งตัวแบบนี้ไม่ได้จริงจังหรือเป็นข้อบังคับ

“เริ่มที่เสื้อเชิ้ตดีๆ สีขาวหนึ่งตัว ผมว่าลูกค้าที่มาร้าน เสื้อเชิ้ตที่พอดีตัวเขา ไม่ฟิตเกินไป มีการตัดเย็บที่ดี ไม่ต้องแพงมากก็ได้ มันเปลี่ยนลุคเขาได้เลย พวก Button Down ที่ปกสวยๆ หรือเสื้อ Spread Collar สีขาวใส่กับไท ผมว่ามันเปลี่ยนคนคนนั้นไปได้เลย” บอลพูด

ไม่ไกลนักมีเสื้อเชิ้ตจากแบรนด์ Kamakura แขวนเรียงราย เสื้อผ้าคอตตอนยี่ห้อนี้มีการตัดเย็บที่ยอดเยี่ยม วัสดุที่ทนทาน ทรงเหมาะกับรูปร่างของคนเอเชีย และที่สำคัญคือราคามือหนึ่งไม่ได้สูง และมันเข้าไปอยู่ในตลาดมือสองบ่อยมากๆ ด้วย

ส่วนกายมองว่าสิ่งสำคัญอยู่ที่ 3 อย่าง คือ สำคัญที่สุดคือ Fit ที่เหมาะกับร่างกาย คุณภาพของเสื้อผ้าที่อาจหมายถึงวัสดุที่ทนทานหรือดีเทลเล็กๆ น้อยๆ และมันควรเป็นสิ่งที่สามารถหมุนเวียนโคจรอยู่ในตู้เสื้อผ้าของเราได้ตลอดเวลา แจ็กเก็ตหนึ่งตัวใส่ได้กับกางเกงหลายตัว เสื้อเชิ้ตหนึ่งตัวใส่ได้กับไทหลายเส้น ฯลฯ กายเรียกมันว่า Rotation

เช่นนั้นแล้วในมุมของทั้งสองคน สูทและเสื้อผ้ารูปแบบที่พวกเขาขายไม่จำเป็นต้องเข้าถึงได้ยาก รู้มารยาทไว้แต่กฎเกณฑ์บิดได้ การแหกกฎบางครั้งก็กลายเป็นสไตล์ได้ และสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญไม่ผูกโยงกับราคาแต่อย่างใด “เจอเสื้อมือสองที่ฟิตเราดีๆ ก็ดี ของแพงไม่ได้แปลว่าของดี คือส่วนมากมันก็ดีแหละ แต่ว่าใส่สวยมั้ยอีกเรื่อง ต้องกลับไปดูเรื่องฟิตและสัดส่วนก่อนอีกที เสื้อผ้าบางตัวอาจจะคุณภาพไม่ได้ดีมาก แต่มันฟิตกับเรา ใส่แล้วสัดส่วนเราสวย สัดส่วนกางเกงใส่แล้วเราดูดี”

Connection Through Fashion

“แต่งตัวดีงี้ไปไหน” น่าจะเป็นคำถามแรกๆ ที่เราต้องเจอหากเราหยิบสูทมาใส่ในประเทศไทย สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวก็อาจจะเป็นอุปสรรค และเราอาจจะรู้สึกเหงาๆ หากแต่งตัวลักษณะนี้อย่างโดดเดี่ยว

“คอมมูนิตี้เป็นเรื่องสำคัญ ต้องให้คนมีพื้นที่ให้ได้มาเจอกันและใส่ชุดพวกนี้ เราคงไม่ได้เป็นผู้นำในคอมมูนิตี้พวกนั้น แต่เรารู้สึกว่าเราต้องการจัดงานต่างๆ เพื่อให้คนไปเจอกันได้และเกิดพื้นที่ของเขาเอง เขาก็จะตัดสินใจไปรวมตัวกันในที่ต่างๆ เอง แล้วสุดท้ายมันก็ไม่พ้นที่เราจะได้พื้นที่ตรงนั้นไปด้วย” กายเอ่ย ในขณะที่เขามองว่าการขายสูทในไทยไม่ยากเท่าที่คิด แต่ในระยะยาวเขายังเชื่อว่าควรมีการสร้างชุมชนและระบบนิเวศรอบๆ เสื้อผ้าอยู่เสมอ

The Decorum เคยใช้เวลาช่วงตุลาคมและพฤศจิกายนจัด The Decorum Bigband Jazz Soiree ที่ปิดห้องสมุด Neilson Hays แล้วนำ Big Band Jazz มาเล่น “มีเครื่องดื่ม ให้คนได้ใส่สูทมางานนี้เพื่อเอนจอยกับดนตรี สูบซิการ์ แต่งตัวสายคลาสสิกแบบของร้านเรา นี่คือสิ่งที่จะเป็นอีเวนต์ทางวัฒนธรรมที่จะเปิดพื้นที่ให้คนใส่สูทมาเข้าร่วมกัน” กายพูด จากรายละเอียดของงาน มันคือการรื้อฟื้นบรรยากาศของช่วงทศวรรษ 1950 ไว้ในพื้นที่หนึ่งและช่วงเวลาหนึ่ง มองอย่างนั้นแล้วนี่คือการเปลี่ยนให้เสื้อผ้าเป็นมากกว่าเสื้อผ้า แต่เป็นวัฒนธรรมย่อยอย่างหนึ่ง

“ร้านแบบนี้จะมีการสื่อสารมากกว่าร้านเสื้อผ้าทั่วไปอยู่แล้ว การเข้ามาต้องมีการพูดคุย สื่อสาร ว่าลูกค้าอยากแต่งตัวสไตล์ไหน รองเท้าสีไหน หนังแบบไหนที่ฉายภาพความเป็นเขา หรือการตัดสูทมันใช้เวลา ฟิตติ้งครั้งที่ 1 หรือครั้งที่ 2 กว่าสูทจะเสร็จ พอเสร็จแล้วเขาอาจจะอยากสั่งตัวใหม่ ให้ตู้เสื้อผ้ามีอะไรเพิ่ม มันคือการสื่อสารที่ทำให้เกิดสายใย เกิดคอมมูนิตี้ที่แน่นแฟ้นด้วย” บอลพูด

แต่เมื่อต้องพูดถึงสูทสำหรับปี 2025 แล้ว ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงผลกระทบของเทรนด์ Old Money และ Quiet Luxury การแต่งตัวให้ดูเป็นผู้ดีและฉายภาพความภูมิฐานผ่านเสื้อผ้าเรียบหรูที่ทำให้การแต่งตัวด้วยสูทนิยมขึ้นทั่วโลก

“ผมรู้สึกว่าจริงๆ Quiet Luxury คือการที่คนไม่ได้อยากนำตัวเองผ่านแบรนด์หรือโลโก้ แต่ผ่านการใส่ใจ เทเลอร์ริ่ง และคุณภาพของเสื้อผ้า พอเทรนด์นี้มันมาแล้ว Menswear ของ The Decorum ก็ติดกระแสไปกับมันด้วย” บอลพูดสรุปภาพกว้างๆ ให้เราเห็น ส่วนกายให้มุมมองกับเราว่ามันเป็นเทรนด์ที่อาจส่งผลดีและผลด้อยต่อพวกเขาได้

“ผมว่ามันดีตรงที่ตลาดมันโตขึ้น แต่พออะไรมันกลายเป็นเทรนด์ปุ๊บ มันก็จะมีส่วนที่ถูก forced มากๆ และถูกทำซ้ำบ่อยๆ พอมันเลยจุดพีคมันก็จะน่าเบื่อ มันจะกลายเป็นอะไรที่ไม่ยั่งยืน นั่นคือสิ่งที่เรากลัว แต่ก็อาจจะไม่เป็นงั้นก็ได้” กายพูด แล้วพูดต่อว่า “ใส่เชิ้ต ใส่กางเกง ใส่รองเท้าหนังเหมือนกัน แต่มันไม่เหมือนกัน หน้าที่ของเราคือทำให้คนเข้าใจมากขึ้น Old Money มันคือการเปิดให้คนเข้าใจว่าเสื้อเชิ้ตที่ดี เบลเซอร์ที่ดี กางเกงที่ดี มันควรจะเป็นยังไง” แล้วเล่าย้อนว่าเมื่อก่อนเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าสูทต่างราคาต่างคุณภาพไม่เหมือนกันที่ตรงไหน การมาถึงของเทรนด์นี้อาจเป็นก้าวแรกของใครหลายๆ คนเช่นกัน

อย่างที่กายว่า ความนิยมของ Quiet Luxury ก็หดหายไปจริงๆ หากเทียบกับเมื่อช่วงปีที่แล้ว การมีขึ้นมีลง มีอยู่มีไปอย่างรวดเร็วของเทรนด์แฟชั่นนี้ขึ้นตรงกับโซเชียลมีเดียและเทรนด์อินเทอร์เน็ต และแม้จะทำงานกับเสื้อผ้าสไตล์ที่ค่อนข้าง ‘นิ่ง’ อย่างสูท สองผู้ก่อตั้ง The Decorum ไม่มองว่าความไวของโลกออนไลน์จะเป็นปัญหาต่อพวกเขา

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมว่าทุกคนจะตามไปเหมือนๆ กันหมดเลย แต่ตอนนี้ทุกสไตล์จะมีกลุ่มผู้คนของเขาเอง” บอลพูด ย้อนกลับไปเมื่อราวสิบปีที่แล้วแฟชั่นผู้ชายที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาอาจมาในรูปแบบเสื้อผ้าสตรีทแวร์และรองเท้าสนีกเกอร์ที่ครอบครองเทรนด์ทั้งก้อน แต่ในขณะนี้ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่งของ Micro-Trend เล็กๆ มากกว่า

ส่วนกายมองว่าความไวของโลกปัจจุบันทำให้เกิดกลุ่มก้อนใหม่บ่อยขึ้น เทรนด์เปลี่ยนไวขึ้น และมีเทรนด์ที่ตายไวขึ้น แต่ไม่ได้แปลว่ากลุ่มเหล่านั้นหายและสูญพันธ์ไป “เทรนด์บางอย่างก็ผุดมาแล้วหายไปบ้าง แต่คอมมูนิตี้และคัลเจอร์มันก็จะมีกลุ่ม core ที่เหลือๆ กันอยู่ คำว่าหายไปก็ไม่เห็นเสียหาย เพราะมีอะไรใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ มันคือความมีชีวิตชีวาของสังคม”

เราถามต่อไปยังคอมมูนิตี้แฟชั่นในอุดมคติของ The Decorum ว่ามีหน้าตาเป็นยังไง

“อยากให้มันดูมีความหลากหลายนะ อยากเห็นทุกคนนำเสนอตัวเองไม่เหมือนกัน เมื่อทุกตลาดทุกคอมมูนิตี้มันแข็งแกร่งเราจะเดินไปด้วยกันได้ ซึ่งมันดีมากๆ และดีต่อทุกกลุ่ม คนที่ชอบ Workwear วันหนึ่งเขาอาจต้องการจะซื้อแจ็กเก็ต ต้องการใส่สูท คนที่ชอบการแต่งตัวก็ต้องศึกษา ต้องอยากลงทุน สุดท้ายมันจะวนกลับมาว่า ‘ถ้าเขาอยากซื้อสูทดีๆ แจ้กเก็ตดีๆ เขาจะไปที่ไหน’ คนที่ใส่ยีนส์ เติบโตมากับตลาดยีนส์ วันหนึ่งเขาก็ต้องถามว่าแล้วรองเท้าที่เขาอยากใส่กับยีนส์ล่ะ หน้าตาเป็นยังไง รองเท้าหนังแบบไหน มันก็จะกลับมาหา The Decorum และตลาดอื่นๆ หมด” บอลพูดทิ้งท้าย

ความรักในความคลาสสิกสำหรับ The Decorum ไม่เคยหมายถึงปิดกั้นตัวเองออกจากยุคสมัยใหม่ พอๆ กับที่ร้านสูทของพวกเขาเปิดกว้างในการผสมผสานสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน พวกเขาก็เปิดรับสไตล์และชุมชนของคนทำเสื้อผ้าแบบอื่นๆ เสมอ ไม่มีใครอยู่เหนือกว่าใคร

แต่เสื้อผ้าทุกสไตล์ของทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศแฟชั่นที่เราเห็นอยู่

บทความต้นฉบับได้ที่ : The Decorum: ร้านสูทที่มอง ‘ความคลาสสิก’ เป็นเสาหลัก แต่ไม่ใช่ทุกอย่างของพวกเขา

บทความที่เกี่ยวข้อง

ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

ทั่วโลกเกิดอะไรขึ้นบ้างสัปดาห์นี้ 4-9 สิงหาคม 2568

6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

Spotlight: ประเทศไทยเกิดอะไรขึ้นบ้างในสัปดาห์นี้ [4-8 ส.ค. 68]

1 วันที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม

รู้จักกับ Ethel Cain ศิลปินที่น่าจับตามอง ผู้มากับเสียงหลอนๆ และความสัมพันธ์ซับซ้อนกับศาสนา

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

The Decorum: ร้านสูทที่มอง ‘ความคลาสสิก’ เป็นเสาหลัก แต่ไม่ใช่ทุกอย่างของพวกเขา

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

ทั่วโลกเกิดอะไรขึ้นบ้างสัปดาห์นี้ 4-9 สิงหาคม 2568

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...