ชีวิตสัตวแพทย์ไม่ชิล! ผลวิจัยชี้ทำงานมากกว่า12 ชม.ต่อวัน เครียดสูง
เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ (ประเทศไทย) หนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านสุขภาพสัตว์ เปิดผลการศึกษาเชิงลึก (Whitepaper) ในหัวข้อ “Going Beyond: สร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับสัตวแพทย์ในประเทศไทย”ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่สัตวแพทย์ไทยต้องเผชิญ ทั้งความเครียดจากการทำงานหนัก ชั่วโมงงานที่ยาวนาน และการขาดการยอมรับด้านวิชาชีพสัตวแพทย์
ผลการศึกษาดังกล่าว รวบรวมข้อมูลจาก 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยผลการศึกษานำเสนอประเด็นด้านสุขภาพจิตและการยอมรับวิชาชีพสัตวแพทย์ พร้อมข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้วงการสัตวแพทย์ในประเทศไทย พบว่า แม้สัตวแพทย์จะมีบทบาทสำคัญต่อการปกป้องสุขภาพสัตว์และสุขภาพอนามัยของประชาชน แต่สัตวแพทย์ในประเทศไทยต้องเผชิญแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากการขาดบุคลากรด้านสัตวแพทยศาสตร์ ต้นทุนการดำเนินงานที่สูง ชั่วโมงทำงานยาวนาน ความเข้าใจจากลูกค้าที่จำกัด และการได้รับการยอมรับที่ไม่เพียงพอ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อความเครียดของสัตวแพทย์และกระทบต่อความยั่งยืนของวิชาชีพ
ผลการศึกษาสำคัญในประเทศไทย:
• 42% ของสัตวแพทย์รายงานว่าฐานลูกค้าที่ลดลงเป็นความท้าทายหลัก
• 70% ของสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่คลินิกระบุว่าลูกค้าไม่เข้าใจเรื่องสุขภาพสัตว์
• 74% ของสัตวแพทย์เผชิญปัญหาลูกค้าไม่เข้าใจค่ารักษาสัตว์เลี้ยง
• 58% ของสัตวแพทย์ทำงาน 50 ชั่วโมงหรือมากกว่าในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งสูงที่สุดในภูมิภาค
• มีเพียง 16% ที่รู้สึกว่าสังคมเข้าใจวิชาชีพของตนอย่างแท้จริง
• 64% เชื่อว่าการที่ลูกค้าเข้าใจงานของพวกเขามากขึ้น จะช่วยลดความเครียดในการทำงาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ไทยพบเสือโคร่ง ป่วยมะเร็งเต้านม กระจายปอด ช่วยชีวิต ทำเคมีบำบัด
แพทย์ผิวหนังเตือนทาสแมวพึงระวัง แมวอาจนำโรคมาสู่คนได้
สัตวแพทย์ไทยทำงานมากกว่า12 ชั่วโมงต่อวัน
สพ.ญ.ดร.ม.ล.นฤดี เกษมสันต์ อดีตนายกสมาคมสัตวแพทย์ผู้ประกอบการบําบัดโรคสัตว์แห่งประเทศไทย ระบุว่าโรงพยาบาลสัตว์หลายแห่งในประเทศไทยดำเนินงานในระบบสองกะ โดยแบ่งเป็นกะเช้าและกะเย็น กะละ 12 ชั่วโมง ส่งผลให้สัตวแพทย์มีวันทำงานไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมง ซึ่งก่อให้เกิดความตึงเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะเมื่อทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานาน
รศ.สพ.ญ.ดร.จารุวรรณ คำพา เลขาธิการสัตวแพทยสภา กล่าวว่าเมื่อมองจากประกาศรับสมัครงานในตลาดแรงงาน พบว่าการระบุชั่วโมงทำงานตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงสามทุ่ม ซึ่งหมายความว่าสัตวแพทย์ไทยต้องทำงานไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน สิ่งนี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของตลาดแรงงานสัตวแพทย์ที่เรื้อรังมานาน ทั้งที่ ตั้งแต่ปี 2565 สัตวแพทยสภาได้ออกเกณฑ์มาตรฐานการทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือ 8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อเป็นแนวปฏิบัติ ซึ่งต้องยอมรับว่าการนำไปใช้จริงยังไม่ทั่วถึงและต้องอาศัยความร่วมมือของสถานประกอบการ
สร้างมาตรฐานทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
น.สพ.ชัยยศ ธารรัตนะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสัตว์กรุงเทพ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมว่า ที่โรงพยาบาลสัตว์จุฬาฯ ได้เริ่มนำเกณฑ์ดังกล่าวมาปรับใช้แล้ว โดยเฉพาะกับสัตวแพทย์รุ่นใหม่ แต่ความท้าทายยังอยู่ที่ปริมาณงานและจำนวนบุคลากรที่ไม่สมดุลกับความต้องการ ถึงจะมีมาตรฐาน 40 ชั่วโมง แต่เมื่อเจอเคสฉุกเฉิน หรือความต้องการของเจ้าของสัตว์ที่คาดหวังการรักษาตลอดเวลา ก็ทำให้หมอต้องยืดหยุ่นเกินกรอบอยู่ดี
สพ.ญ.กฤติกา ชัยสุพัฒนากุล ประธานชมรมสถานพยาบาลสัตว์แห่งประเทศไทย เห็นว่า ชั่วโมงทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เป็นมาตรฐานที่เหมาะสมและควรเดินหน้า แต่สิ่งสำคัญคือการสร้าง “วัฒนธรรมองค์กร” ที่เข้าใจความสมดุลของบุคลากร และนายจ้างต้องตระหนักว่าการทำงานเกินกำลัง ไม่เพียงทำให้สัตวแพทย์เสี่ยงหมดไฟ แต่ยังสะท้อนต่อคุณภาพการดูแลสัตว์ที่อาจลดลงด้วย
สัตวแพทย์ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเครียดสูงสุด
ขณะที่ ผศ.น.สพ.รุ่งโรจน์ โอสถานนท์ อดีตประธานคณะผู้บริหารวิทยาลัยวิชาชีพการสัตวแพทย์ชำนาญการแห่งประเทศไทย กล่าวว่าความเครียดของสัตวแพทย์เกิดจาก 3 ปัจจัยหลักคือ
1. สภาพแวดล้อมการทำงานและความสัมพันธ์ในที่ทำงาน หากขาดระบบสนับสนุนหรือต้องทำงานกับทีมที่กดดันย่อมส่งผลต่อสุขภาพจิต
2. ความคาดหวังของเจ้าของสัตว์ที่มักสูงเกินจริง แต่ข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่ายกลับสวนทาง และ
3. แรงกดดันภายในตัวสัตวแพทย์เอง ซึ่งมักตั้งมาตรฐานกับตัวเองสูง เมื่อเกิดความผิดพลาดหรือการสูญเสียสัตว์ จะโทษตัวเองและรู้สึกผิด ซึ่งสะสมจนเป็นความเครียดลึก
อย่างไรก็ตาม ความรู้ไม่ใช่ปัญหาที่กำลังขาด ทุกวันนี้เราสามารถค้นคว้าจากทั้งในออนไลน์และแอปลิเคชันต่าง ๆ ได้ง่าย แต่เรื่องของจิตใจและทักษะด้าน Soft Skill ต่างหากที่สำคัญ เพราะปัญญาประดิษฐ์ไม่สามารถเข้ามาทดแทนได้ ดังนั้น ต้องมีการเติมเต็มทักษะด้านจิตใจและ Soft Skill ให้แก่สัตวแพทย์ยุคใหม่ เพื่อช่วยให้เข้าถึงใจของคนและสัตว์ได้มากขึ้น และนำไปสู่การรักษาที่ตรงจุด
ผศ.น.สพ.ภูดิท มณีสาย นายกสมาคมสัตวแพทยผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์แห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า สัตวแพทย์ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมีความเครียดสูงที่สุด เพราะต้องเจอเคสที่ซับซ้อน ขณะที่สัตวแพทย์ในคลินิกแม้จะเจอแรงกดดันน้อยกว่า แต่ก็มีความกังวลเรื่องทรัพยากรและเครื่องมือที่ไม่เพียงพอ อีกสิ่งที่ต้องไม่มองข้ามคือ มิติทางอารมณ์ สัตว์เลี้ยงทุกวันนี้ถูกมองว่าเป็นสมาชิกครอบครัว นั่นหมายถึงความคาดหวังจากเจ้าของสูงมาก และสัตวแพทย์ต้องรับแรงกดดันทางอารมณ์โดยตรง
“เทรนด์การเลี้ยงสัตว์เปลี่ยนไป สัตว์กลายเป็นสมาชิกในครอบครัว ดังนั้นสัตวแพทย์ต้องปรับการสื่อสารให้คิดว่ากำลังพูดคุยกับผู้ที่พาสมาชิกในครอบครัวมารักษา และต้องมีความเข้าใจในสัตว์และเจ้าของมากขึ้น”
ปศุสัตว์เผชิญความท้าทายหลายด้าน
ด้าน สพ.ญ.ดร.เมตตา เมฆานนท์ นายกสมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย กล่าวว่า สัตวแพทย์ด้านปศุสัตว์ต้องเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ, ผลทางกฎหมาย เช่น การที่ฟาร์มสุกรขนาดใหญ่ มีสุกรมากกว่า 500 ตัว ต้องมีสัตวแพทย์ประจำ และความรับผิดชอบในการยืนยันสุขภาพสัตว์ก่อนส่งโรงฆ่า ซึ่งอาจมีความเสี่ยงจากการปนเปื้อนโรคระหว่างการขนส่ง หลังจากผ่านการยืนยันจากสัตวแพทย์แล้ว
นอกจากนี้ สัตวแพทย์ปศุสัตว์ยังแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ หมอประจำฟาร์ม ที่ต้องมีการกักตัวก่อนเข้าฟาร์ม และ หมอบริษัท ที่ต้องเดินทางเยี่ยมฟาร์มต่างจังหวัดซึ่งกินเวลาทั้งวัน โดยมีหน้าที่หลากหลายตั้งแต่การตรวจสุขภาพ, ชันสูตรซาก, ไปจนถึงการทำรายงาน ทำให้มีความรับผิดชอบสูงและเสี่ยงต่อการหมดไฟ
“แพทย์สายปศุสัตว์ควรมีทักษะด้านการบริหารธุรกิจ และทักษะด้านภาษาที่หลากหลาย เช่น อังกฤษ, จีน, เวียดนาม และอินโดนีเซีย-มาเลเซีย เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางปศุสัตว์ของภูมิภาค”
หนุนสัตวแพทย์มีความยั่งยืนทางวิชาชีพ
เภสัชกร อภิศักดิ์ คุณเวช Head of Animal Health บริษัท เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าสัตวแพทย์มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่กำลังเผชิญความเครียดและการขาดความเข้าใจในวิชาชีพในวงกว้าง เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ จึงภูมิใจที่ได้ริเริ่มการจัดทำและเปิดตัวผลการศึกษาเชิงลึกครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อยกย่องความทุ่มเทของสัตวแพทย์ สร้างการรับรู้ต่อความท้าทายด้านต่าง ๆ และส่งเสริมให้สัตวแพทย์ได้รับการสนับสนุนและมีความยั่งยืนทางวิชาชีพยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคประชาชน เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ จึงขอเป็นหนึ่งในฟันเฟืองเพื่อสร้างอนาคตที่แข็งแกร่งให้กับวิชาชีพสัตวแพทย์ในประเทศไทย
ข้อเสนอแนะยกระดับคุณภาพชีวิตสัตวแพทย์ไทย
จากผลการศึกษาเชิงลึกฉบับนี้ ได้สรุปข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและการยอมรับวิชาชีพสัตวแพทย์ พร้อมสร้างเครือข่ายสนับสนุนที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น ดังนี้
• การศึกษาและสร้างความตระหนักรู้ในสาธารณะ – จัดแคมเปญเฉพาะกลุ่มผ่านสื่อสาธารณะและกิจกรรมของสถาบันการศึกษา เพื่อเพิ่มความเข้าใจของสาธารณชนต่อบทบาทของสัตวแพทย์
• การรักษาและพัฒนาบุคลากรสัตวแพทย์ – สนับสนุนค่าตอบแทน ผลประโยชน์ และเส้นทางการพัฒนาวิชาชีพที่ชัดเจน เพื่อดึงดูดและสร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากร
• การสนับสนุนด้านสุขภาวะ – ให้สัตวแพทย์เข้าถึงบริการให้คำปรึกษา กลุ่มสนับสนุนเพื่อนร่วมอาชีพ และการฝึกอบรมสำหรับคลินิกสัตวแพทย์ด้านสุขภาพจิตและการจัดการความเครียด
• ด้านนโยบายและการส่งเสริมกฎหมาย – ร่วมมือกับรัฐบาลและองค์กรสัตวแพทย์เพื่อผลักดันโครงการ เช่น ประกันสัตว์เลี้ยงและการขยายบริการดูแลป้องกัน
• การยกย่องด้านวิชาชีพ – จัดตั้งรางวัลและโครงการยกย่องเพื่อเชิดชูผลงานของสัตวแพทย์ และสร้างการรับรู้ในวงกว้าง
• การเสริมสร้างเครือข่ายวิชาชีพ – ส่งเสริมความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างสมาคมสัตวแพทย์ รัฐบาล และบริษัทเอกชน เพื่อเพิ่มเสียงสะท้อนของวิชาชีพให้กว้างไกลยิ่งขึ้น
ในฐานะผู้นำด้านสุขภาพสัตว์ เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ ยังคงขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายของสัตวแพทย์และยกระดับมาตรฐานวิชาชีพในประเทศไทย ผลการศึกษาเชิงลึก “Going Beyond: สร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับสัตวแพทย์ในประเทศไทย” จึงเป็นอีกหนึ่งในหลายโครงการของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นแนวทางปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้จริง เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สัตวแพทย์ ยกระดับวิชาชีพ และสนับสนุนการพัฒนาวิชาชีพสัตวแพทย์ในประเทศอย่างต่อเนื่อง