‘Skyy9-ตึกถล่ม’ แผล ‘ก.แรงงาน-สตง.’ สวนทางแชมป์ความโปร่งใส 68
พลันที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยสำนักประเมินคุณธรรรมและความโปร่งใส ประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 หรือ ITA AWARDS 2025 เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนก็ดังกระหึ่มขึ้นทันที
เพราะมี 2 หน่วยงานคือ “กระทรวงแรงงาน” และ “สตง.” ที่ “คว้าแชมป์” ได้อันดับ 1 “ความโปร่งใส” ทั้งที่ย้อนแยงจากผลงานที่ผ่านมา ได้แก่ กลุ่มองค์กรอิสระ ที่มี 5 หน่วยงาน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้คะแนนมาอันดับ 1 ที่ 94.64 คะแนน และ รางวัลกระทรวงที่มีหน่วยงานภาครัฐในกระทรวงจำนวนไม่เกิน 15 หน่วยงาน ที่มีการขับเคลื่อน ITA บรรลุเป้าหมายตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติฯ ยอดเยี่ยม ได้แก่ กระทรวงแรงงาน ได้คะแนนเฉลี่ย 96.62 คะแนน ร้อยละที่ผ่าน 100.00%
ทั้งที่ 2 หน่วยงานดังกล่าวข้างต้น “มีแผล” สด ๆ ร้อน ๆ ในช่วงต้นปี 2568 ทั้งคู่ ได้แก่
หนึ่ง สตง.ถูกวิจารณ์อย่างหนัก หลังเกิดเหตุ “แผ่นดินไหว” ครั้งประวัติศาสตร์ ส่งผลให้ “ตึก สตง.” แห่งใหม่ มูลค่าการก่อสร้างกว่า 2.1 พันล้านบาท “พังครืน” ลงมา ปัจจุบันผ่านมา 5 เดือนแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเรื่องฟ้องต่อศาลไปหมดแล้ว แต่ดูเหมือนเรื่องจะยังไม่คืบหน้าถึงไหน ทั้งที่กรณีดังกล่าวสร้างความสูญเสีย มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก จนเป็นที่โจษจันไปทั่วโลก
ประเด็นตึก สตง. “กรุงเทพธุรกิจ” เคยตรวจสอบและนำเสนอไปแล้วว่า อาคารหลังนี้ ถูกก่อสร้างโดยกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี คือ Joint Venture ระหว่าง “อิตาเลียนไทยฯ” รับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของไทย และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CREC ที่มี “ทุนจีน” ถือหุ้นใหญ่
กรุงเทพธุรกิจ ขยายผลนำเสนอข้อเท็จจริงพบว่า CREC ในไทย มีบริษัทเครือข่ายอีกกว่า 14 บริษัท โดยมี 3 คนไทย เข้าไปเป็นกรรมการ และถือหุ้น รวมถึงเข้าเป็นคู่สัญญาจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอีกอย่างน้อย 19 โครงการ รวมวงเงินกว่าหมื่นล้านบาท ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกหน่วยงานรัฐทั้งกระทรวงพาณิชย์ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำไปใช้ กระทั่งสืบค้นพบว่า CREC ได้งานรัฐรวมอย่างน้อย 29 สัญญา รวมวงเงินกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังได้แกะรอย เปิดโปงข้อเท็จจริงทั้งกิจการร่วมค้า PKW ที่เป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้าง รวมถึง TOR ต่างๆ
พฤติการณ์ของ CREC ในไทยนั้น ใช้โมเดลธุรกิจในลักษณะเป็น “กิจการร่วมค้า” กับเอกชนรายอื่นๆ โดยเริ่มจากเข้าไป “ซื้อซอง” เอกสารการประมูลงานรัฐ แต่ไม่ได้เข้าร่วม “ยื่นซอง” หรือ “ยื่นเสนอราคา” แต่กลับไปดีลกับเอกชนไทยที่ “ทุนหนา” เพื่อเข้าร่วมเป็น “กิจการร่วมค้า” ดำเนินการ “ยื่นซอง” ประมูลแทน
โดยนับตั้งแต่ปี 2561 ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเป็นต้นมา พบว่า “กิจการร่วมค้า” ที่มี “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10” เริ่มจากประมูลงานรัฐขนาดกลาง วงเงินราว 100 ล้านบาทขึ้นไป จนถึงงานขนาดใหญ่หลัก 300-500 ล้านบาท จนมาถึงงานระดับสัมปทานรัฐหลัก 1,000 ล้านบาท
ปัจจุบันเรื่องนี้ถูกแบ่งข้อเท็จจริงออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1.กรณี “นอมินี” คนไทยถือหุ้นแทน “คนต่างด้าว” 2.กรณี “วัสดุก่อสร้าง” ไม่ตรงสเปก และส่อไม่ได้มาตรฐาน 3.กรณี “สาเหตุตึกถล่ม” ซึ่งกรณี “นอมินี” และ “สาเหตุตึกถล่ม” นั้น มีการสรุปข้อเท็จจริงตามผลการสอบสวนที่คณะกรรมการฯชุดที่ “นายกฯแพทองธาร ชินวัตร” แต่งตั้งขึ้น รวมถึงสำนวนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งฟ้องผู้ต้องหาแก่ศาลไปแล้ว
สอง กระทรวงแรงงาน ถูกวิจารณ์อย่างหนักเช่นกัน ภายหลัง 2 สส.พรรคประชาชน (ปชน.) คือ “ไอซ์” รักชนก ศรีนอก สส.กทม. และ “เนม” สหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี ออกมาเปิดโปงกรณีกองทุนประกันสังคม ซึ่งอยู่ภายใต้กำกับดูแลของ “กระทรวงแรงงาน” ควักเงินของผู้ประกันตนกว่า 6.9 พันล้านบาท ลงทุนซื้อตึก Skyy9 ทั้งที่อาจไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
โดยเรื่องนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” นำเสนอข้อมูล และขยายผลการตรวจสอบพบข้อเท็จจริงว่า “กองทุนทรัสต์” ที่อนุกรรมการที่ปรึกษาการลงทุนสินทรัพย์นอกตลาด ตัดสินใจใช้งบเฉียด 7 พันล้านบาทไปซื้อ “บริษัท” เพื่อให้ได้มาซึ่งอาคาร Skyy9 (เดิมคืออาคาร Cas Centre) คือ บริษัท ไพร์ม ไนน์ เรียลเอสเตท จำกัด โดยมีบริษัท ไพร์ม เซเว่น จำกัด ผู้ถือหุ้นใหญ่ ขณะที่ผู้ถือหุ้นใหญ่สุดใน “ไพร์ม เซเว่น” คือ กองทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุนไพร์ม แอสเซท โดย บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะทรัสตี เป็นกองทุนของประกันสังคม
โดยข้อมูล “อินไซด์” วงประชุมที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติวงเงินราว 7 พันล้านบาท เพื่อเข้าไปซื้อ “บริษัท” ให้ได้มาซึ่งอาคาร Skyy9 มีวงประชุมที่เกี่ยวข้อง 3 วง ได้แก่ คณะกรรมการลงทุน (Investment Committee) หรือ “บอร์ดลงทุน” มี “บุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์” เลขาธิการ สปส. (ขณะนั้น ปัจจุบันเป็นปลัดกระทรวงแรงงาน) เป็นประธาน) คณะอนุกรรมการการลงทุน และคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาการลงทุนสินทรัพย์นอกตลาด โดยทั้ง 3 วงดังกล่าวได้หารือเกี่ยวกับการลงทุนอย่างน้อย 3 ครั้ง ระหว่างเดือน ส.ค.-พ.ย. 2565 ก่อนชงบอร์ดกองทุนประกันสังคม (บอร์ดใหญ่) ตัดสินใจเคาะลงทุนให้ได้มาซึ่งตึก Skyy9
ประเด็นน่าสนใจ มี 2 หน่วยงานที่เข้าไปดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้คือ “มหาดไทย” ในยุค “มท.หนู” อนุทิน ชาญวีรกูล และสรุปผลสอบสวนข้อเท็จจริงเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับชงกลับไปยัง “กระทรวงแรงงาน” ในยุค “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” ซึ่งได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ “ทิ้งทวน” ก่อนที่จะ “ก๊กน้ำเงิน” จะถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล
บทสรุปการสืบสวนข้อเท็จจริง การเข้าลงทุนกองทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุนไพร์ม แอสเซท (Prime Asset Private Equity Trust) กรณีอาคาร Skyy9 สรุปข้อเท็จจริงได้ว่า 1.การดำเนินการลงทุนในกองทรัสต์ Prime Asset Private Equity Trust มีความเร่งรีบผิดปกติ 2.การพิจารณาแผนการลงทุนในกองทรัสต์ Prime Asset Private Equity Trust แม้มีข้อสังเกตหลายประการจากคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง แต่กลับไม่มีการเชิญบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้เชิญชวนมาชี้แจงข้อมูลโดยตรง
พฤติการณ์แห่งการกระทำในกระบวนการพิจารณานำเงินกองทุนประกันสังคมเข้าลงทุนในกองทรัสต์ Prime Asset Private Equity Trust ได้แสดงให้เห็นถึงความรีบเร่ง ไม่มีการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความเหมาะสม คุ้มค่า ของการลงทุนที่ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบก่อนการตัดสินใจลงทุน จำนวนเงินที่ได้ลงทุนดังกล่าวเมื่อเทียบกับผลการประเมินมูลค่าทรัพย์สินของคณะทำงานประเมิน และคำนวณมูลค่าการเข้าลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อาคาร Skyy9 และสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเช่นเดียวกันแล้ว มีมูลค่าที่แตกต่างกันมาก
เชื่อว่าการลงทุนในกองทรัสต์ Prime Asset Private Equity Trust ในส่วนของการลงทุนในหุ้นของบริษัท AGRE101 จำกัด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ไพร์ม ไนน์ เรียลเอสเตท จำกัด) เจ้าของกรรมสิทธิ์ในโครงการ Cas Centre หรืออาคาร Skyy9 มีมูลค่าสูงกว่าความเป็นจริง อันเป็นพฤติการณ์ที่มีการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังอันสมควรตามที่วิญญูชนโดยทั่วไปควรจะพึงมี และกระทำ ขาดความละเอียดรอบคอบในการปฏิบัติราชการ เป็นเหตุให้กองทุนประกันสังคมได้รับความเสียหาย
มีรายงานด้วยว่า ในผลการสืบสวนกระทรวงมหาดไทย ได้วิเคราะห์ราคาตึก Skyy9 โดยใช้วิธีจากกระแสเงินสดคิดลด พบว่าควรมีราคาในช่วงซื้อขายประมาณ 3.4-3.8 พันล้านบาทเศษเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง หากเทียบราคาที่กองทุนประกันสังคม ตั้งทรัสต์ไปลงทุนซื้อบริษัทให้ได้มาซึ่งตึก Skyy9 มูลค่ากว่า 6.9 พันล้านบาท
แม้ว่า “พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ” ในฐานะ “จับกัง 1” คนใหม่ สั่งโยกย้าย “บุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์” พ้นปลัด ไปเข้ากรุสำนักนายกฯ โดยยอมรับว่า เพื่อเปิดทางให้การสอบสวนปมตึก Skyy9 เป็นไปด้วยความโปร่งใสก็ตาม แต่ที่น่าสนใจ “ไอซ์ รักชนก” เพิ่งออกมาแฉอีกครั้งว่า “ปลัดบุญสงค์” ลงนามคำสั่งโยกย้ายข้าราชการ “อำนวยการระดับต้น-สูง” อย่างน้อย 35 คน ก่อนถูกเด้งเข้ากรุ จนถูกตั้งคำถามว่าเป็นการเซ็น “ทิ้งทวน” หรือไม่
ดังนั้นจึงไม่แปลกเมื่อ “กระทรวงแรงงาน-สตง.” เข้าวินได้แชมป์ “ความโปร่งใส” ITA2568 จากสำนักงาน ป.ป.ช. ทั้งที่ยังมี 2 เงื่อนปมข้อครหาคาใจประชาชนอยู่อย่างนี้ จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากทุกองคาพยพในสังคม ยิ่งกว่าปีไหน ๆ