ไทยประณามอีก! เชื่อ ‘กัมพูชา’ วางระบบฝังระเบิดทั่วพื้นที่ชายแดน
เมื่อวันที่ 28 ส.ค. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ตนขอแสดงความเสียใจต่อทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บและทุพพลภาพถาวรจากการเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ขณะลาดตระเวนพื้นที่ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ความสูญเสียครั้งที่ 6 ที่เกิดจากอาวุธร้ายแรงที่ไร้มนุษยธรรม ประเทศไทยจึงขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนไทย อีกทั้งเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ เป็นการละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างชัดเจน และเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์นี้ จึงเชื่อได้ว่าฝ่ายกัมพูชาน่าจะมีการวางแผนใช้ทุ่นระเบิดอย่างเป็นระบบตลอดพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีเจตนาคุกคามต่อทหารฝ่ายไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากจุดเกิดเหตุอยู่ในพื้นที่ไทยในเส้นปฏิบัติการของฝั่งไทย ทั้งนี้ ตนขอหยิบยกคำพูดของเจ้ากรมกิจการชายแดนทหารที่เคยกล่าวไว้ว่า ทุ่นระเบิดไม่ใช่หลักเขตแดน แต่เป็นอาวุธที่ไร้มนุษยธรรม ทำให้เกิดความทุพพลภาพและคร่าชีวิตผู้คน โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า การวางทุ่นระเบิดของฝ่ายกัมพูชาจึงสะท้อนถึงเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ และเป็นการกระทำที่ไร้อารยะ ขณะเดียวกัน เหตุการณ์ครั้งนี้ตอกย้ำความสำคัญ และความจำเป็นที่ไทยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งสนับสนุนให้รัฐภาคีต้องแจ้ง หากมีเหตุการณ์ถูกระเบิด ไทยต้องแจ้งให้ประชาคมโลกได้รับทราบถึงพฤติกรรมดังกล่าวของกัมพูชา และขอให้ร่วมกันดำเนินการให้กัมพูชาหยุดการดำเนินการดังกล่าวโดยทันที
นายนิกรเดช กล่าวว่า ขณะเดียวกัน นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ ยังอยู่ระหว่างการปฏิบัติภารกิจที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีที่กัมพูชาลักลอบวางทุ่นระเบิด และกระทำการที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศให้นานาประเทศได้รับทราบ ทั้งการพบกับเอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรญี่ปุ่นประจำการประชุมด้านการลดอาวุธ ซึ่งเป็นประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 22 (อนุสัญญาออตตาวา) และหัวหน้าสำนักงานกิจการลดอาวุธแห่งสหประชาชาติ (UNODA) ณ นครเจนีวา รวมถึงหารือร่วมกับคณะเอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรของประเทศต่างๆ ที่เป็นสมาชิกรัฐภาคีตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และนายมาริษ จะพบหารือกับประธานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ไอซีอาร์ซี) ในวันนี้ (28 ส.ค.) เพื่อแจ้งถึงการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงอนุสัญญาเจนีวาของฝ่ายกัมพูชาจากการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายต่อพลเรือน และสถานที่พลเรือน จนเป็นเหตุให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บ และเสียชีวิตหลายคน ซึ่งการที่ รมว.การต่างประเทศ ไปชี้แจงรายละเอียดด้วยตัวเองครั้งนี้ เพื่อทำให้ประชาคมโลกได้เห็นหลักฐานที่หนักแน่น ทั้งหลักฐานโดยประจักษ์และหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ต่างๆ ก่อนจะดำเนินการตามอนุสัญญาต่อไป
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวอีกว่า ส่วนการดำเนินการของฝ่ายไทยในส่วนอื่นๆ นั้น นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา จะเข้าพบนายอันโตนิอู กูแตเรซ เลขาธิการสหประชาชาติ ในช่วงค่ำวันนี้ (28 ส.ค.) ตามเวลาประเทศไทย เพื่อชี้แจงพัฒนาการเกี่ยวกับสถานการณ์ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และติดตามการดำเนินการตามอนุสัญญาออตตาวา หลังจากเอกอัครราชทูตไทยฯ ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติแล้ว เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2568 ซึ่งจัดส่งข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชาในเขตแดนของไทย นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตไทยและกงสุลใหญ่ไทยที่ประจำการทั่วโลก ยังเดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องทุ่นระเบิด และสถานการณ์ล่าสุดในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อรัฐบาลประเทศเจ้าบ้านและประเทศในเขตอาณา รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สื่อมวลชนท้องถิ่น และชุมชนไทยในประเทศนั้นๆ ด้วย
เมื่อถามถึงกรณีที่ประชาชนของไทยและกัมพูชา ชุมนุมและเผชิญหน้ากันในพื้นที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว นายนิกรเดช กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศไม่อยากให้เกิดการเผชิญหน้ากันและการสูญเสีย ขณะที่ฝ่ายทหารได้กั้นรั้วเพื่อไม่ให้ประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายเผชิญหน้ากัน เพราะการเผชิญหน้าโดยกลุ่มคนนั้น มีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกันได้ ซึ่งฝ่ายทหารไทยคงไม่ยินยอมให้มีการเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นแน่นอน และต้องคุ้มกันคนไทยเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด อย่างไรก็ตาม เราขอเรียกร้องให้ประชาชนใช้ความระมัดระวังอย่างมาก และขอให้หลีกเลี่ยงการไปเผชิญหน้า เพราะพื้นที่ชายแดนขณะนี้มีความตึงเครียดสูงอยู่แล้ว