คลัง เล็งอัดมาตรการกระตุ้นศก.ปลายปี หนุนบริโภค-ท่องเที่ยว ดันGDPโตเกิน 2%
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลอยู่ระหว่างเตรียมการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ปี 2568 โดยจะเน้นไปที่การเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ และการส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ทันภายในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ หรือภายในเดือนตุลาคม 2568 เพื่อเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจช่วงปลายปี และผลักดันให้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เติบโตเกิน 2% ภายในปี 2568
“เราประเมินแล้วว่า ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามกลไกปกติ การเติบโตเศรษฐกิจจะไม่ถึงเป้าหมาย ขณะนี้เข้าสู่เดือนสุดท้ายแล้ว มาตรการจึงมีความจำเป็น หากทุกอย่างเดินได้ตามแผน มาตรการน่าจะเริ่มได้ช่วงต้นไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสม หากทุกขั้นตอนผ่านความเห็นชอบทันเวลา ซึ่งจะเป็นการเสริมแรงกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในช่วงปลายปี ซึ่งคาดว่าจะเป็นแรงส่งดันจีดีพีโตได้มากกว่า 2% ”
สำหรับงบประมาณจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเดิม วงเงิน 1.57 แสนล้านบาทนั้น ขณะนี้ดำเนินการไปแล้วราว 110,000 ล้านบาท และมีการยกเลิกบางโครงการประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยยังเหลือ งบประมาณราว 26,000 ล้านบาท ที่จะถูกโอนเข้าสู่ งบกลางกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อสามารถนำมาใช้สนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันในปีงบประมาณ 2568
นายจุลพันธ์ย้ำว่า การนำเงินมาใช้นั้นไม่สามารถผูกพันงบในลักษณะของโครงการใหม่ได้ เนื่องจากเวลาที่เหลือไม่เพียงพอ จึงต้องใช้กลไกที่ยืดหยุ่น เช่น การโอนเข้างบกลาง
ในส่วนของมาตรการด้านแรงงาน รัฐบาลยังเดินหน้าแผน ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศ ซึ่งแม้จะเป็นผลดีต่อแรงงาน แต่ส่งผลต่อภาระต้นทุนของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ในภาคท่องเที่ยวและบริการ
กระทรวงการคลังเตรียมหารือและออกมาตรการ ลดหย่อนภาษี หรือมาตรการบรรเทาภาระอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถปรับตัวได้ โดยเน้นการสร้างสมดุลให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์
"ซึ่งในอดีตเราเคยใช้กลไกลดหย่อนภาษี วันนี้เราก็อาจต้องกลับมาดูว่าเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่พอ ก็ต้องมีมาตรการเสริมเพื่อบรรเทาภาระผู้ประกอบการ"
อีกหนึ่งประเด็นที่รัฐบาลติดตามอย่างใกล้ชิดคือผลกระทบจาก มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ หรือที่เรียกว่า “ภาษีทรัมป์” และสถานการณ์ในประเทศกัมพูชา ซึ่งอาจกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและภาคส่งออก โดยรัฐบาลจะใช้ ธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME D Bank) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)เป็นเครื่องมือปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และมาตรการพักชำระหนี้บางส่วน ภายใต้ นโยบายกึ่งการคลัง ที่จะเสนอผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.)
ขณะนี้ 2 ธนาคารอยู่ระหว่างการประเมินกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ เพื่อเตรียมออก มาตรการเฉพาะทาง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตร-เอสเอ็มอี ที่เชื่อมโยงกันในภาคการผลิต
สำหรับ แหล่งงบประมาณเพิ่มเติม นอกจากงบกลางแล้ว นายจุลพันธ์กล่าวว่า รัฐบาลสามารถใช้งบจากหลายช่องทาง เช่นกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ กลไกทางกฎหมายตามมาตรา 28 ซึ่งเป็นการอนุญาตให้ใช้เงินนอกงบประมาณในกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น โดยไม่กระทบวินัยการคลัง
ด้านความคืบหน้างบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ล่าสุด นายจุลพันธ์ระบุว่า ได้ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และอยู่ระหว่างรอเข้าสู่วาระการพิจารณาของ วุฒิสภาในวันที่ 1-2 กันยายน 2568 โดยคาดว่าจะสามารถผ่านกระบวนการได้ทัน เริ่มใช้ 1 ตุลาคม 2568