“ธนารักษ์–กองทัพเรือ” เปิดตัวโครงการ Clean Energy พลิกพื้นที่ราชพัสดุสู่พลังงานสะอาด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (25 ส.ค.68) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดตัวโครงการ “Clean Energy” และลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการจัดทำต้นแบบการใช้พลังงานสะอาดในที่ราชการ โดยมี พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ร่วมลงนามในความร่วมมือ ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาพลังงานสะอาด สะท้อนเจตนารมณ์ของกรมธนารักษ์ที่ต้องการยกระดับที่ราชพัสดุจาก “สินทรัพย์ที่ถูกมองข้าม” ให้กลายเป็น “สินทรัพย์แห่งอนาคต” และปรับบทบาทจาก “ที่ราชพัสดุที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์” สู่ “ที่ราชพัสดุเพื่อสิ่งแวดล้อม”
ทั้งนี้ ภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรง เป็นความท้าทายสำคัญของโลก รัฐบาลไทยจึงตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2608 ผ่านการผลักดันนโยบายด้านพลังงานสะอาดในหลายมิติ
นายเอกนิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ราชพัสดุซึ่งเคยถูกมองข้ามว่าไม่มีประโยชน์ เช่น หลังคาบนอาคารราชพัสดุ หรือที่ราชพัสดุที่เป็นอ่างเก็บน้ำ จะถูกพลิกบทบาทให้กลายเป็นฐานพลังงานสะอาดแห่งอนาคต โดยกรมธนารักษ์ พร้อมยกเว้นหรือลดค่าเช่าและค่าแรกเข้าในการใช้ประโยชน์ เพื่อสนับสนุนการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดใน 3 รูปแบบหลัก ได้แก่ บนหลังคา (Solar Rooftop), บนพื้นดิน (Solar Farm) และบนทุ่นลอยน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ (Floating Solar)
แนวทางดังกล่าวจะช่วยให้ส่วนราชการ หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชน สามารถเข้าถึงการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนพลังงานของภาครัฐ แต่ยังเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน สร้างรายได้จากที่ราชพัสดุที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์กลับคืนสู่รัฐ และที่สำคัญคือการวางรากฐานด้านพลังงานสะอาดให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
หลักเกณฑ์ 5 ข้อ สำหรับการเข้าร่วมโครงการ Clean Energy
- ส่วนราชการหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้รับการยกเว้นค่าตอบแทนทั้งหมด หากติดตั้งเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองในทางราชการ โดยต้องรายงานผลการติดตั้งให้กรมธนารักษ์ทราบเมื่อแล้วเสร็จ
- หน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้เช่าที่ราชพัสดุ ไม่ต้องเสียค่าเช่าเพิ่ม หากติดตั้งเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองในหน่วยงานของรัฐ แต่ต้องขออนุญาตกรมธนารักษ์ก่อนดำเนินการ
- รัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้า (กฟผ., กฟน., กฟภ.) หากติดตั้งเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เอง จะไม่ต้องเสียค่าเช่าเพิ่ม แต่หากติดตั้งเพื่อขายไฟเข้าระบบ กรมธนารักษ์จะผ่อนปรนค่าเช่าในอัตราต่ำสุด เช่น Solar Rooftop เก็บเพียง 2 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน หรือ 2 บาทต่อตารางวาต่อเดือน ส่วน Solar Farm หรือ Floating Solar คิดค่าเช่าที่ดินเพียง 0.75% ของมูลค่าที่ดินต่อปี ลดลงถึง 75% จากอัตราปกติ
- ผู้เช่าเอกชน หากติดตั้งเพื่อใช้ไฟเองในครัวเรือน (ไม่เกิน 10 กิโลวัตต์) หรือเพื่อกิจการตามกฎหมายการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จะไม่ต้องเสียค่าเช่าเพิ่ม แต่ต้องขออนุญาตกรมธนารักษ์ก่อน หากติดตั้งเพื่อขายไฟเข้าระบบ ต้องเช่าเพิ่มในอัตราผ่อนปรน โดย Solar Rooftop คิดค่าเช่า 2 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน หรือ 2 บาทต่อตารางวาต่อเดือน ส่วน Solar Farm หรือ Floating Solar เก็บค่าเช่าที่ดิน 1.5% ของมูลค่าที่ดินต่อปี ลดลงถึง 50% จากอัตราปกติ
- การเปิดประมูลพื้นที่ใหม่ สำหรับที่ราชพัสดุที่ยังไม่มีผู้เช่า กรมธนารักษ์จะเปิดประมูลให้เอกชนเข้าลงทุนโครงการ Solar Farm หรือ Floating Solar โดยกำหนดค่าแรกเข้า 0.5% ของมูลค่าที่ดินตามจำนวนปีที่เช่า และค่าเช่าที่ดิน 1.5% ของมูลค่าที่ดินต่อปี ซึ่งถือว่าลดลงครึ่งหนึ่งจากอัตราปกติ
ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการต้องทำประกันความเสียหายเฉพาะพื้นที่ติดตั้ง เพื่อคุ้มครองกรณีอัคคีภัยและเหตุสุดวิสัย รวมถึงต้องรายงานผลการลดก๊าซเรือนกระจกต่อกรมธนารักษ์ทุกปี เพื่อรวบรวมและรายงานเป็นภาพรวมของที่ราชพัสดุต่อกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หากเป็นโครงการเชิงพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ จะต้องแบ่งปันคาร์บอนเครดิต 5% ให้เป็นรายได้แผ่นดินผ่านกรมธนารักษ์ด้วย
อธิบดีกรมธนารักษ์ ระบุว่า ความร่วมมือกับกองทัพเรือจะเริ่มจากโครงการ Floating Solar ที่กรมอู่ทหารเรือ ก่อนขยายผลไปยังอีก 6 พื้นที่ ได้แก่ ค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ศูนย์ฝึกทหารใหม่ โรงเรียนชุมพลทหารเรือ กองการบินทหารเรือ และกองเรือฟรีเกตที่ 1 รวมกำลังการผลิตพลังงานกว่า 42,000 kWp
เมื่อโครงการเดินหน้าเต็มรูปแบบ คาดว่าจะช่วยลดค่าไฟฟ้าของกองทัพเรือได้กว่า 20% และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 63,000 ตันต่อปี ถือเป็นการลดภาระงบประมาณและสร้างผลดีต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ อีกทั้งยังเป็น “ต้นแบบแห่งการเปลี่ยนผ่านพลังงาน” ที่หน่วยงานอื่นสามารถนำไปต่อยอดได้ในอนาคต
นายเอกนิติ กล่าวปิดท้ายว่า โครงการ “Clean Energy” ไม่ได้เป็นเพียงโครงการด้านพลังงานเท่านั้น แต่คือวิสัยทัศน์แห่งอนาคตของที่ราชพัสดุ ที่จะถูกเปลี่ยนจากพื้นที่ที่เคยถูกมองข้ามให้กลับมามีพลัง สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกรมธนารักษ์ในการเพิ่มมูลค่าและคุณค่าทรัพย์สินของแผ่นดิน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม นำพาประเทศไทยสู่ความยั่งยืน