“ชัยยศ” ชี้ SET พักฐาน จับตาคดี “การเมือง” ชูเก็บ IVL-GPSC รับปัจจัยบวกตปท.
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยในรายการ "ข่าวหุ้นเจาะตลาด" วันนี้ (20 ส.ค.68) ว่าหากมองทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทย SET Index ต้องยอมรับว่าช่วงก่อนหน้านี้ปรับตัวขึ้นแรงจากปัจจัยบวกหลายด้าน ยกตัวอย่าง ประเด็นภาษีไทย-สหรัฐ ที่บรรลุข้อตกลง 19% รวมถึงการข่าวคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นแรงสนับสนุนสำคัญให้ดัชนี SET ปรับขึ้นกว่า 200 จุด ภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือนที่ผ่านมา
นายชัยยศ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อสอบถามว่าจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและสัปดาห์นี้มีการปรับตัวลงจนเกินการพักฐานพอหรือยังนั้น ต้องยอมรับว่าปัจจัยภายในประเทศยังมีประเด็นการเมืองที่ต้องติดตามใกล้ชิด โดยเฉพาะคดีความสำคัญ นายทักษิณ ชินวัตร ในข้อหาตาม มาตรา 112 ซึ่งมีกำหนดตัดสิ้นวันที่ 22 ส.ค.68 รวมถึงกรณีคลิปเสียงหลุด นางสาวแพทองธาร ชินวัตรในวันที่ 29 ส.ค.
“ปัจจัยเหล่านี้ ถือว่าประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นแรงไปก่อนหน้านี้ จากการตอบรับข่าวบวกต่างๆ ทำให้ตลอด 2-3 สัปดาห์ต่อจากนี้ รวมถึงช่วงต้นเดือนหน้า ความไม่แน่นอนทางการเมืองส่งผลให้นักลงทุนสถาบันต่างชาติ (fund flow) เริ่มมีการลดน้ำหนักการลงทุนและทยอยปรับพอร์ตออกมา แต่เชื่อว่า fund flow อาจกลับมาหลังการเมืองมีความชัดเจน” นายชัยยศ กล่าว
ส่วน กลยุทธ์ลงทุน แนะนำกลุ่มหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวอย่างประเด็น นเรนธรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ประกาศเตรียมปรับโครงสร้างภาษีมูลค่าเพิ่มสินค้าและบริการ (General Sales Tax : GST) โดยจะปรับลดจากเดิมที่มี 4 ระดับ ได้แก่ 5%, 12%, 18% และ 28% เหลือเพียง 2 ระดับหลักเท่านั้น คาดการณ์หนุนการบริโภคภายในประเทศเดือน ต.ค.68
โดยเน้นเลือกกลุ่มที่มีสัดส่วนทำธุรกิจที่อินเดียมากกว่า 10% คือ IVL โดยแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 22 บาท และ GPSC แม้มีสัดส่วนในอินเดียไม่มาก แต่ยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวลดลง 4% จากไตรมาสก่อนถึงปัจจุบัน ซึ่งสนับสนุนต้นทุนลดลง คงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 37 บาท
นอกจากนี้ ยังถือเป็นปัจจัยเชิงจิตวิทยาเชิงบวกต่อหุ้นที่มีรายได้มาจากตลาดอินเดีย อาทิ กลุ่มโรงแรม ได้แก่ ERW สัดส่วนรายได้จากอินเดียราว 8%, CENTEL ประมาณ 5%, AWC ประมาณ 4%, SHR ราว 3% และ MINT ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ไม่ถึง 5% ขณะที่กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี เช่น PTTGC มีรายได้จากอินเดียราว 4%
สำหรับหุ้นในกลุ่มอื่นๆ ที่มีรายได้เกี่ยวข้องกับตลาดอินเดีย แม้จะอยู่ในสัดส่วนไม่สูงนัก แต่ก็ได้รับการจับตาจากนักลงทุนเช่นกัน โดย SCC มีสัดส่วนรายได้จากอินเดียน้อยกว่า 1% ขณะที่กลุ่มค้าปลีกอย่าง CPAXT มีรายได้ราว 1% และมีสาขาในอินเดียจำนวน 6 แห่ง
ในส่วนของกลุ่มเกษตรและอาหาร CPF และ TU มีรายได้จากอินเดียประมาณ 2% ของรายได้รวม โดยเฉพาะ TU ที่นอกจากรายได้โดยตรงแล้ว ยังมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม Avanti ซึ่ง TU ถือหุ้น 40% และดำเนินธุรกิจผลิตกุ้งแช่แข็ง (Frozen Shrimp) แม้จะไม่มีรายได้จากการส่งออกโดยตรง แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางสร้างรายได้จากตลาดอินเดีย
ส่วนประเด็นการลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารนั้น ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่า กลุ่มธนาคาร ยังคงเป็นกลุ่มที่มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะในแง่ผลตอบแทนจากเงินปันผล ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ราว 8-9% จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการโยกเงินจากการฝากออมทรัพย์หรือเงินฝากทั่วไป เข้าสู่การลงทุนในหุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม หากมองในมิติของการเติบโต (growth) ของกลุ่มธนาคาร อาจต้องยอมรับว่าช่วงนี้ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากสินเชื่อ (loan growth) ขยายตัวไม่มากนัก อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบายถูกปรับลดลงถึง 2 ครั้งในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งปัจจัยดังกล่าวกดดันต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) และอาจส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยของกลุ่มธนาคารชะลอตัวลง ดังนั้นแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารในลักษณะ “ซื้อเพื่อรับเงินปันผล” มากกว่าการคาดหวังการเติบโตของกำไรในระยะสั้น