รายงานของ Microsoft เปิดเผย ผลกระทบจาก AI 10 อาชีพเสี่ยงมากที่สุด และ 10 อาชีพเสี่ยงน้อยที่สุด
รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ
เมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัท Microsoft ได้เผยแพร่งานวิจัยชื่อ Working with AI: Measuring the Occupational Implications of Generative AI ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ประเมินความเสี่ยงของงานอาชีพต่างๆ ที่จะถูกแทนที่จาก AI งานที่เกี่ยวข้องกับภาษา ทั้งการเขียนและการพูด รวมทั้งงานเกี่ยวข้องกับบริการลูกค้า ล้วนเป็นงานที่อ่อนไหว และจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจาก AI
รายงานของ Microsoft ให้ภาพที่ชัดเชนมากขึ้น เรื่องนัยยะการใช้งานของ AI ในงานอาชีพต่างๆ เช่น นักแปล ล่าม และนักเขียน คืองานและอาชีพ ที่มีการนำ AI มาใช้งานมากที่สุด หมายความว่า ภาระหน้าที่การงานเหล่านี้ สอดคล้องกลมกลืนอย่างใกล้ชิดกับความสามารถในปัจจุบันของ AI ส่วนงานบริการลูกค้าและตัวแทนขาย ที่ในสหรัฐฯ มีอยู่ 5 ล้านตำแหน่งงาน จะต้องแข่งขันกับ AI
ผลกระทบเพราะ AI เป็นเทคโนโลยีทั่วไป
รายงานของ Microsoft กล่าวว่า ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา “เทคโนโลยีเป้าหมายทั่วไป” (general purpose technology) เช่น เครื่องจักรกลและคอมพิวเตอร์ มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน และมีผลกระทบมากยิ่งขึ้นเมื่อมีความหน้าทางเทคนิค
ในหลายปีที่ผ่านมา “AI เชิงสร้างสรรค์” หรือ Generative AI กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีเป้าหมายทั่วไปมากยิ่งขึ้น มีความสามารถในการปรับปรุงการทำงาน และเร่งการทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น เช่น ในเรื่องการวินิจฉัยโรค และการพัฒนาซอฟต์แวร์
ความสามารถดังกล่าว สะท้อนจากอัตราการใช้งานเพิ่มขึ้นมากของ AI คนอเมริกันเกือบ 40% ใช้งาน AI ที่บ้านและที่ทำงาน มากกว่าการใช้งานในระยะแรกของการมีคอมพิวเตอร์บุคคลและอินเตอร์เน็ต การใช้งานที่กว้างขวางมากขึ้น และความเป็นไปได้ที่จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า งานอาชีพไหนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจาก AI
อาศัยการวัดที่ “ระดับการใช้งาน AI”
รายงาน Microsoft ศึกษาผลกระทบ AI ต่ออาชีพการงาน โดยใช้หลักเกณฑ์เรียกว่า “ระดับคะแนนการใช้งาน AI” (AI Application Score) จากหลักเกณฑ์นี้ อาชีพการเป็นล่ามและนักแปล มีระดับคะแนนสูงสุด เพราะเป็นงานที่ทับซ้อนกับความสามารถ AI รองลงไปได้แก่อาชีพงานที่เกี่ยวข้องกับการเขียน บรรณาธิการ การขาย บริการลูกค้า รวมทั้งอาชีพเกี่ยวกับความรู้ เช่น นักประวัติศาสตร์ นักเขียน นักประพันธ์ นักรัฐศาสตร์ นักข่าวและนักหนังสือพิมพ์ บรรณาธิการ นักพิสูจน์อักษร และผู้เชี่ยวชาญประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
งานเหล่านี้มีความเสี่ยงจาก AI เพราะเป็นงานลักษณะประมวลข้อมูลกับการสื่อสาร เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ข้อมูล การสร้างเนื้อหา และตอบคำถาม การทำงานในเชิงดิจิทัลที่สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีคนเรามาเกี่ยวข้องเชิงกายภาพ และเป็นงานที่สามารถทำได้จากระยะไกล
ส่วนงานอาชีพที่เสี่ยงน้อยสุดจากระดับการใช้งาน AI คืองานที่ใช้แรงงานกายภาพมีการเกี่ยวข้องกับคนอื่น เช่น ผู้ช่วยพยาบาล และนักกายภาพบำบัด งานที่เกี่ยวข้องการทำงานของเครื่องยนต์ เช่น โรงงานบำบัดน้ำเสีย คนขับรถบรรทุกและรถแม็คโคร และงานใช้แรงงานอื่นๆ เช่น การทำความสะอาด งานล้างจาน และงานแม่บ้าน เป็นต้น
จากรายงานศึกษาของ Microsoft 10 อาชีพจากทั้งหมด 40 อาชีพ ที่มีความเสี่ยงมากที่สุดจาก AI เรียงลำดับได้แก่
- ล่ามและนักแปล 2. นักประวัติศาสตร์
3. พนักงานบริการผู้โดยสาร 4. ตัวแทนขาย
5. นักเขียนและนักประพันธ์ 6. พนักงานบริการลูกค้า
7. นักเขียนโปรแกรมควบคุมเครื่องจักร (CNC)
8. พนักงานโทรศัพท์ 9. ตัวแทนจำหน่ายตั๋ว
10. ผู้ประกาศและนักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์
ส่วน 10 อาชีพจาก 40 อาชีพ มีความเสี่ยงน้อยที่สุดจากการใช้งาน AI เรียงลำดับได้แก่
- พนักงานขุดลอกแม่น้ำ 2. พนักงานควบคุมสะพาน
3. คนงานโรงงานบำบัดน้ำเสีย 4. คนงานแม่พิมพ์โลหะ
5. งานบำรุงรักษาอุปกรณ์ 6. งานตอกเสาเข็ม
7. งานขัดพื้นผิวให้เรียบ 8. ผู้ช่วยพยาบาล
9. พนักงานขับเรือ 10. ผู้ควบคุมเครื่องจักรป่าไม้
ไม่จำเป็นว่า AI จะมาแย่งงาน
ส่วนบทความของนิตยสาร Fortune เรื่อง Microsoft researchers have revealed the 40 jobs most exposed to AI กล่าวว่า กล่าวโดยรวม งานที่เสี่ยงจาก AI คืองานเกี่ยวข้องกับความรู้ เช่น คนทำงานกับคอมพิวเตอร์ งานธุรการในสำนักงาน หรืองานวิจัย แต่ Microsoft ก็กล่าวว่า การใช้งานด้วย AI ในสัดส่วนสูง ไม่ได้หมายความว่า เป็นงานที่จำเป็นต้องถูกแทนที่ด้วย AI แต่เมื่อรายชื่องานที่เสี่ยงทั้งหมด 40 งานของรายงาน Microsoft ถูกเผยแพร่อย่างรวดเร็วในอินเตอร์เน็ต ทำให้ IBM ชะลอการจ้างงานใหม่หลายพันตำแหน่ง เพราะเป็นงานที่คาดว่า AI จะเข้ามาแทนที่ใน 5 ปีข้างหน้า
ส่วนผู้นำธุรกิจอย่าง Jensen Huang CEO ของ Nvidia ก็ให้สัมภาษณ์ว่า งานทุกงานจะได้รับผลกระทบจาก AI ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทางที่ดีคือยอมรับในสิ่งนี้ “งานทุกงานจะได้รับกระทบ และทันทีทันใด คุณไม่ได้ตกงานเพราะ AI แต่คุณจะตกงานให้กับคนบางคนที่ใช้ AI”
บทความของ Fortune กล่าวว่า AI ทำให้งานหลายอย่างมีโอกาสมากที่จะถูกเปลี่ยนแปลงไป เช่น นักรัฐศาสตร์ นักวิเคราะห์การบริหาร และสื่อมวลชน งานเหล่านี้ล้วนต้องมีการศึกษาระดับปริญญา 4 ปี นักวิจัย Microsoft กล่าวว่า การมีปริญญาบัตร ที่ถือเป็นใบเบิกทางความก้าวหน้าทางการงาน แต่ต่อไปจะไม่ใช่สิ่งที่ให้ความมั่นใจอีกแล้ว ท่ามการกระแสการเปลี่ยนแปลง “เราพบว่า งานที่ต้องการปริญญา มีการใช้ AI สูงกว่างานที่ต้องการคุณสมบัติต่ำกว่านี้”
แต่ Kiran Tomlinson นักวิจัยของ Microsoft คนหนึ่งก็กล่าวกับ Fortune ว่า การวิจัยเน้นว่า AI จะเปลี่ยนแปลงการทำงานอย่างไร ไม่ใช่ประเด็นว่าจะมาแทนที่งานอะไร “การวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่า AI สนับสนุนภาระของงานหลายอย่าง โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการวิจัย การเขียน และการสื่อสาร แต่ไม่ได้บ่งชี้ว่า AI สามารถทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์เต็มที่”
เอกสารประกอบ
Working with AI: Measuring the Occupational Implications of Generative AI, Microsoft Research, 22 JUL 2025
Microsoft researchers have revealed the 40 jobs most exposed to AI, July 31, 2025, fortune.com