SCC โชว์ความแข็งแกร่ง หนี้ลด-กระแสเงินสดแน่น เปิดเกมรุกสู้ศึกเศรษฐกิจโลก
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เดินเกมเชิงรุกฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก ล่าสุดประกาศผลประกอบการครึ่งปีแรก 2568 แข็งแกร่งต่อเนื่อง ด้วยกระแสเงินสด (EBITDA) 30,320 ล้านบาท ขณะที่หนี้สินสุทธิลดลง 8,365 ล้านบาท จากสิ้นไตรมาส 1/2568 และมีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 45,542 ล้านบาท
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงความสำเร็จในการดำเนินมาตรการเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่กลางปี 2567 ผ่านกลยุทธ์ปรับพอร์ตลงทุน หยุดธุรกิจไม่ทำกำไร และยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง บริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจแพคเกจจิ้ง (เอสซีจีพี) ปรับแผนผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ บริหารต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล ใช้เทคโนโลยีและ AI เพิ่มประสิทธิภาพจัดการต้นทุนได้ดี และธุรกิจเคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ (Gap) เริ่มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากต้นทุนราคาน้ำมันดิบที่ลดลง นอกจากนี้ เอสซีจี ยังมีรายได้เงินปันผลรับต่อเนื่อง
โดยครึ่งปีแรก 2568 SCC มีรายได้ 249,077ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 18,436ล้านบาท แต่หากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ จะมีกำไรอยู่ที่ 3,266 ล้านบาท
SCC ยังเดินหน้าตอบแทนผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568 ในอัตรา 2.5 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในวันที่ 28 สิงหาคม 2568 กำหนดวันที่ XD ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 14 สิงหาคม 2568
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากเศรษฐกิจไทย อาเซียน และโลก ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และราคาพลังงานผันผวน นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ (Business Competitiveness) เพื่อสู้กับทุกความท้าทายดังกล่าว ได้แก่
ชูฐานผลิตหลากหลายใน “อาเซียน” (Regional Optimization) ซึ่งเป็นความแข็งแกร่งและได้เปรียบของบริษัท
เช่น เอสซีจีซี เตรียมแผนเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เวียดนาม (LSP) ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2568 ขณะที่โครงการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยวัตถุดิบก๊าซอีเทนของ LSP คืบหน้าตามแผน คาดแล้วเสร็จปี 2570
เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ขยายฐานผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้กำลังการผลิตสูงสุด 8,000 ตันต่อวัน รองรับตลาดเวียดนาม และส่งออกไปสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย ทวีปโอเชียเนีย
ส่วน เอสซีจี เดคคอร์ เพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนที่เวียดนาม ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง
และ เอสซีจีพี เดินหน้าเสริมแกร่งของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในเวียดนาม ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ จนถึงบรรจุภัณฑ์อาหาร
นอกจากนี้ SCCยังมองหาโอกาสในตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ทวีปแอฟริกา มีการขยายตลาด “ปูนเม็ด” (Cement Clinker)
ทวีปเอเชีย มีการขยายตลาด “3D Printing Solution” ไปญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย มาเลเซีย
ส่วน ทวีปโอเชียเนีย มีการขยายตลาด “หลังคาและฝาฝ้า” ที่พัฒนาคุณสมบัติให้เหมาะกับลูกค้าออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
อีกทั้งการขยายตลาด “ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 1 และ 2” ซึ่งได้รับการรับรอง มอก.ใหม่ 2594-2567 และ Environmental Product Declaration (EPD) North America รายแรกของไทย ไปออสเตรเลีย รวมทั้งเตรียมออก “ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 3” สู่ตลาดเป็นรายแรก โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างทำ Pilot Project กับกว่า 15 โครงการ
ตลอดจนทวีปยุโรป ที่มีการขยายตลาด “กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน” ไปสาธารณรัฐเช็ก
และการปรับกระบวนการผลิต “บรรจุภัณฑ์อาหาร” เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน
“ลดต้นทุน” แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก
โดยการใช้หุ่นยนต์ และ AI เช่น ใช้หุ่นยนต์บรรจุปูนซีเมนต์และลำเลียงไปยังคลังสินค้า ใช้ AI ช่วยลดขั้นตอนออกแบบและพัฒนาสินค้าใหม่ และใช้หุ่นยนต์บริหารจัดการโรงงาน เป็นต้น และการลดต้นทุนบริหารจัดการ จากการรวมศูนย์การผลิตของโรงงานที่มีความซ้ำซ้อน
ดัน “สินค้า Smart Value - HVA - Green” รุกตลาดเติบโตสูง
ทั้งการเร่งขยาย สินค้าราคาคุ้มค่า (Smart Value Products - SVP) ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เช่น “ปูน ADAMAX” ในเวียดนาม “ปูน 5 Star” ในกัมพูชา “ปูน Bezt” ในอินโดนีเซีย โดย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ “หลังคาเซรามิก เอสซีจี รุ่น Celica Curve” โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และ “กระเบื้อง และสุขภัณฑ์ SOSUCO” โดย เอสซีจี เดคคอร์
สินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products - HVA) และโซลูชัน เช่น “CHILLOX” โซลูชันประหยัดพลังงานสำหรับคลังสินค้าห้องเย็น ซึ่งเป็นการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของโรงงานพอลิโอเลฟินส์มาต่อยอด
สินค้ากรีน (Green Products) เช่น “ประตูหน้าต่างไวนิลคาร์บอนต่ำ WINDSOR” รายแรกในไทย โดย เอสซีจีซี และ “กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น DECAAR by SCG รุ่นคอมฟอร์ท” ที่มีเทคโนโลยี HeatSync ช่วยสะท้อนความร้อนได้ดีและคายความร้อนได้เร็ว โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง”
นายธรรมศักดิ์ บอกว่า แม้สถานการณ์สงครามการค้าจะยังไม่แน่นอน บริษัทเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ที่ชัดเจน การปรับตัวที่รวดเร็ว และความทุ่มเทของทีมงานทุกกลุ่มธุรกิจ จะช่วยรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินและความสามารถทางการแข่งขันขององค์กรไว้ได้ โดยแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2568 บริษัทประเมินว่า EBITDA จะดีกว่าปีก่อน และประเมินยอดขายจะเติบโต 3-5% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ด้าน นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด มองว่า แนวโน้มไตรมาส 3/2568 คาดว่ากำไรจะปรับดีขึ้นต่อเนื่อง โดยธุรกิจซีเมนต์ ได้รับผลเต็มจากการปรับราคาขึ้น ประกอบกับต้นทุนพลังงานที่ลดลง ส่วนธุรกิจเคมิคอลส์ อาจเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของ Margin หากราคาวัตถุดิบลดลงต่อ Spread ปิโตเคมีคาดว่าจะเริ่มฟื้นตัว หลังเห็นความชัดเจนเรื่องสงครามการค้า และการกลับมาเดินเครื่อง LSP
ขณะที่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ คาดว่าจะได้แรงหนุนจากความต้องการกลุ่ม Foodservice และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภูมิภาค สำหรับ Smart Living จะเดินหน้ารุกตลาดงานซ่อมแซมและก่อสร้างใหม่ในกลุ่มลูกค้ารัฐและเอกชนต่อเนื่อง ดังนั้นจึงแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ปรับราคาเป้าหมายขึ้นมาเป็น 238 บาท