รัฐบาลตั้ง ‘ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติ‘ สกัดเฟคนิวส์ทุกแพลตฟอร์ม
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี เป็นประธานประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ (Top Executives) โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญคือการยกระดับมาตรการรับมือข่าวปลอม ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้จัดตั้ง “คณะกรรมการตรวจสอบและวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อป้องกันข่าวปลอม” หรือที่เรียกกันว่า “ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติ” (Anti Fake News Center: AFNC) โดยมีนายประเสริฐเป็นประธาน และนายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี เป็นรองประธาน
ศูนย์ดังกล่าวจะทำหน้าที่เฝ้าระวัง ตรวจสอบ และตอบโต้ข่าวปลอมเชิงรุก โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงต่างประเทศ รวมถึงได้รับการสนับสนุนจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย โดยการทำงานจะร่วมปฏิบัติงานเฝ้าระวังและตรวจสอบข่าวปลอมตลอด 24 ชั่วโมง
ข้อมูลจาก AFNC ระบุว่า ตั้งแต่พฤศจิกายน 2562 ถึง 31 กรกฎาคม 2568 มีข้อความเข้าสู่ระบบกว่า 1.18 พันล้านข้อความ โดยพบข้อความต้องสงสัยที่เข้าเกณฑ์ตรวจสอบเกือบ 2.3 ล้านข้อความ
นอกจากนี้ มีเรื่องที่ถูกส่งตรวจสอบ 41,882 เรื่อง แบ่งออกเป็นข่าวที่เกี่ยวกับนโยบายรัฐและความมั่นคง 20,052 เรื่อง ข่าวสุขภาพ 14,713 เรื่อง เศรษฐกิจ 2,229 เรื่อง อาชญากรรมออนไลน์ 2,794 เรื่อง และภัยพิบัติ 2,094 เรื่อง โดยผลการตรวจสอบจำแนกได้เป็นข่าวปลอม 7,714 เรื่อง ข่าวจริง 8,577 เรื่อง ข่าวบิดเบือน 2,456 เรื่อง และข้อมูลไม่เพียงพอ 2,875 เรื่อง
นายประเสริฐกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับผลกระทบของข่าวปลอม ทั้งต่อสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะข้อมูลที่บิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างความเข้าใจผิด หรือปลุกระดมในลักษณะรุนแรง ซึ่งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติจะไม่เพียงแค่ปิดกั้นข่าวปลอม แต่ยังต้องทำหน้าที่ในการชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนเข้าใจอย่างถูกต้องด้วย พร้อมประสานความร่วมมือกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวปลอมแพร่กระจาย โดยเฉพาะกรณีที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
ทั้งนี้ได้มีการเตือนว่า การนำเข้าข้อมูลเท็จหรือบิดเบือนเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการปลอมแปลงข้อมูลทั้งหมดหรือบางส่วน หรือการแชร์ส่งต่อข่าวปลอม ถือเป็นความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเป็นความผิดที่ไม่สามารถยอมความได้
นายประเสริฐยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในช่วงความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา ได้มีการสร้างข่าวปลอมจำนวนมากในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มของ Meta ซึ่งไทยได้หารือเบื้องต้นกับบริษัทฯ เพื่อขอความร่วมมือใน 5 ประเด็น ได้แก่
1. เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบข่าวปลอมของทั้งสองประเทศ
2. เพิ่มเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบเนื้อหา
3. ใช้เทคโนโลยี AI ตรวจจับคอนเทนต์ที่สร้างโดย AI มีบักษณะเป็น IO
4. ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมต้องสงสัย เช่น บัญชีที่คอมเมนต์จำนวนมากผิดปกติในแต่ละวัน
5. บังคับให้ผู้ลงโฆษณาต้องยืนยันตัวตน เพื่อให้สามารถตามหาผู้รับผิดชอบได้
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลไทยในการจัดการกับปัญหาข่าวปลอมอย่างเป็นระบบและยั่งยืน โดยใช้กลไกร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ
นอกจากนี้ นายประเสริฐยังได้กล่าวถึงการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านดิจิทัลและ AI (APEC 2025 Digital and AI Ministerial Meeting) ที่เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมแสดงความเห็นในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และมาตรการรับมือข่าวปลอมและอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่อง