อานิงส์"ทองคำ"ราคาพุ่ง คนอเมริกันแห่ซื้อ"เครื่องประดับหรู" แซงหน้ากระเป๋าแบรนด์เนม
ปีนี้ทองมาแรง และส่งผลดีไปถึงเครื่องประดับหรูด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ที่พบว่าคนอเมริกันใช้จ่ายซื้อสินค้าหรู ในกลุ่มกระเป๋าและเสื้่อผ้าน้อยลง สวนทางกับเครื่องประดับที่คนนิยมซื้อมากขึ้น
รายงานของ CNBC เปิดเผยว่าทิศทางของตลาดเครื่องประดับหรู ว่ามีการเติบโตที่สวนทางกับการชะลอตัวลงสินค้าลักซูรี่ต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา อ้างอิงจากรายงานของ Citgroup ที่บันทึกข้อมูลธุรกรรมบัตรเครดิตของผู้ถือบัตรชาวอเมริกันกว่า 10 ล้านคน ไปเจอว่า การใช้จ่ายของคนอเมริกันในหมวดของสินค้าหรูต่างๆ มีการปรับตัวลดลงในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ (2025) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน(2024) แต่ในทางตรงกันข้ามปรากฎว่า สินค้าที่อยู่ในกลุ่มของเครื่องประดับหรูมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เช่น เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา การใช้จ่ายในหมวดเครื่องประดับหรูเพิ่มขึ้นถึง 10.1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และมียอดใช้จ่ายเติบโตต่อเนื่องทุกเดือนนับตั้งแต่กันยายนปีที่แล้ว
นอกจากนี้ยอดใช้จ่ายที่พุ่งขึ้น ยังมาพร้อมกับลูกค้าที่มากขึ้น หมายความว่าไม่ใช่ลูกค้าเก่า หรือลูกค้าแค่คนเดียวที่ซื้อของเยอะขึ้น แต่หมายถึงคนที่ซื้อ หรือจำนวนลูกค้าที่ซื้อก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการใช้จ่ายหมวดนาฬิกาหรูเพิ่มขึ้นถึง 14.7% ในเดือนพฤษภาคมเมื่อเทียบกับปีก่อน
สวนทางกับสินค้าพวกกระเป๋าแบรนด์เนมและเสื้อผ้าหรูต่างๆ ที่หดตัวลงในอเมริกา โดยย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นปี นับตั้งแต่มีนาคมที่ผ่านมา การใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าลักซูรี่ลดลงไป 8.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน เดือนเมษายน หดตัวไป 6.8% ขณะที่ในดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย เหลือติดลบที่ 1.7% ขณะที่ยอดโดยรวมของแบรนด์หรูชั้นนำระดับโลก เช่น Hermès มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.2% เมื่อเทียบรายปี
แม้ว่าก่อนหน้านี้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าปี 2025 จะเป็นปีแห่งการฟื้นตัว โดยเฉพาะหลังจากไตรมาส 4 ของปี 2024 ซึ่งได้แรงหนุนจากการช้อปปิ้งในช่วงเทศกาลและบรรยากาศหลังเลือกตั้งสหรัฐฯ แต่ปรากฎว่าข้อมูลจาก Citi ชี้ว่าช่วง 5 เดือนแรกของปี 2025 การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในกลุ่มสินค้าลักชัวรีของสหรัฐฯ ยังลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2024
ข้อมูลจาก "Thomas Chauvet" นักวิเคราะห์จาก City Group ระบุว่า ราคาทองคำที่พุ่งขึ้นเร่งตัวขึ้น เป็นปัจจัยที่ทำให้คนหันมาซื้อเครื่องประดับหรูมากขึ้น เพราะคนหันกลับมามองว่าเครื่องประดับเป็นทรัพย์สินที่มีผลต่อมูลค่าทางอารมณ์ มีความหมายทางความรู้สึก และสามารถสร้างมูลค่าการลงทุนได้มากกว่าสินค้าแบรนด์เนมประเภทอื่นๆ เช่น กระเป๋า หรือเสื้อผ้า
โดย Thomas ได้ตั้งคำถามว่า หากเรามีเงิน 3,000 ดอลลาร์ เอาไว้ช็อปสินค้าลักซูรี่ เราจะตัดสินใจซื้อเครื่องประดับหรือกระเป๋าถือ ถ้าหากราคาของสินค้าทั้งสองอย่างนี้เท่ากัน ซึ่งหลายคนอาจจะเลือกซื้อเครื่องประดับมากกว่า เพราะให้คุณค่าในตัวเอง คุณค่าทางอารมณ์ และมีความหมายที่มากกว่า หรือจะเป็นการซื้อสร้อยข้อมือ Cartier ตอนนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพราะราคาเพิ่มขึ้นไม่ถึง 5% นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งต่างจากทองคำที่เพิ่มขึ้นมามากกว่า 25% ไปแล้ว นอกจากนี้หากมองในทางกลับกัน เราจะพบว่ากระเป๋าถือแบรนด์เนมต่างๆ มีราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมากถึง 30% ถึง 40% นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 โดยที่ Thomas ให้มุมมองว่าราคาที่พุ่งขึ้นไม่ได้เกิดจากดีไซน์ที่แปลกใหม่อย่างชัดเจน คนที่ซื้อไปจึงไม่ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการจ่ายเงินที่มากขึ้นแต่อย่างใด
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าค่านิยมของผู้บริโภคได้เกิดความเปลี่ยนแปลงแล้ว ยอดขายเครื่องประดับที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งเป็นการบอกให้รู้ว่า คนในยุคนี้กำลังให้คุณค่ากับของหรือวัสดุที่มีมูลค่าแท้จริงมากกว่า ส่งผลทำให้เครื่องประดับทั้งหลายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ กำไล ต่างหู หรือนาฬิกา กลายเป็นสินค้าที่ทรงคุณค่าทั้งในฐานะของขวัญและเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุน
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่สุดหากเราจะตั้งใจซื้อเพื่อลงทุนโดยตรงในกลุ่มสินค้าหรูโดยเฉพาะเครื่องประดับเหล่านี้ ต้องไม่ลืมและย้ำว่าไม่ใช่สินค้าทุกรุ่นหรือทุกแบรนด์ที่จะมีราคาเพิ่มขึ้นหลังจากการซื้อ บางแบรนด์หรือบางรุ่นอาจมีราคาลดลงได้ด้วยเช่นกัน
"นาฬิกาหรู" ขายดี เพราะเร่งซื้อก่อน "ภาษีทรัมป์"
ข้อมูลจาก Citi Group เปิดเผยว่าคนอเมริกัน มีการใช้จ่ายในนาฬิกาหรูเพิ่มขึ้นบ้างในปีนี้ แต่ยังคงน้อยกว่าการใช้จ่ายในเครื่องประดับ โดยพบว่าการใช้จ่ายในนาฬิกาหรูทุกแบรนด์เพิ่มขึ้น 14.7% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 แต่อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของนาฬิกาแบรนด์ชั้นนำกลับติดลบถึง 10% ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเมื่อเทียบเป็นรายปี
นักวิเคราะห์มองว่ายอดขายของนาฬิาแบรนด์เนมต่างๆ ที่พุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมาอาจไม่สะท้อนการบริโภคที่แท้จริงของผู้บริโภค เพราะอาจจะเป็นผลจากที่ดีลเลอร์เร่งสต๊อก และผู้ผลิตเร่งส่งสินค้ามายังบริษัทในสหรัฐฯ ล่วงหน้า เพื่อหนีตาย ก่อนที่กำแพงภาษีนำเข้าที่มีผลบังคับใช้ จากนโยบายภาษีตอบโต้ หรือ Reciprocal Tariff ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำแห่งสหรัฐฯ
สอดคล้องกับรายงานจากทางบลูกเบิร์ก ที่รายงานว่ากลุ่มของนักสะสมนาฬิกาหรูทั้งในสหรัฐฯและอังกฤษได้พากันรีบเร่งออกล่าและหาซื้อนาฬิกา Rolex และ Patek Philippe มือสอง ก่อนจะเจอกับภาษีทรัมป์ จนทำให้ยอดขายนาฬิกาหรู ดังกล่าวพุ่งขึ้น
อ้างอิงข้อมูลจาก "Subdial" ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายนาฬิกา ที่พบว่า ปกติแล้วยอดขายนาฬิกาในแพลตฟอร์มมักจะพุ่งขึ้นหลังจากวันเงินเดือนออกในแต่ละเดือน แต่ในสำหรับเดือนเมษายนที่ผ่านมา ยอดการซื้อขายหลังวันเงินเดือนออกเพิ่มขึ้น 160% เมื่อเทียบกับปกติ
"คริสตี้ เดวิส" ผู้ก่อตั้ง Subdial ในกรุงลอนดอน กล่าวว่า ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นมากเป็นพิเศษในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร เพราะคนได้ยินข่าวเรื่องภาษี และคิดว่าสถานการณ์มันแย่แล้ว ดังนั้นจึงตัดสินใจซื้อตอนนี้เลยดีกว่า ดังนั้นพอเงินเดือนออก ยอดขายก็พุ่งกระฉูดทันที
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนแนวโน้มอีกอย่างที่พบในสวิตเซอร์แลนด์ ที่พบว่าการส่งออกนาฬิกาพุ่งขึ้นเกือบหนึ่งในห้าในเดือนเมษายน โดยเฉพาะการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะขยายมาตรการภาษีตามที่ขู่ไว้ ซึ่งข้อมูลจาก"สหพันธ์อุตสาหกรรมนาฬิกาสวิส" ระบุว่า นาฬิกาที่ทำจากโลหะมีค่า สเตนเลส และวัสดุสองชนิดผสมกัน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทรัมป์เล็งเป้าหมายไว้เช่นกัน มีอัตราการเติบโตมากที่สุด
ด้าน"ฌอง-ฟิลิปป์ เบิร์ตชี" นักวิเคราะห์จาก Vontobel กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของการส่งออกไปยังสหรัฐฯ อาจพุ่งขึ้นแรงเพียงแค่ครั้งเดียวแบบนี้เท่านั้น เพราะผู้ส่งออกนาฬิกาต้องการที่จะหนีหรือหลีกเลี่ยงภาษีที่สูงขึ้น ไม่ได้มาจากความต้องการที่แท้จริงของผู้ซื้อ หรือมาจากการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์เชิงโครงสร้าง เพราะเทียบดูแล้ว จะพบว่าการส่งออกนาฬิกาสวิสไปยังส่วนอื่นๆ ของโลกลดลง 6.4% ในเดือนดังกล่าว ซึ่งยังคงเป็นการเริ่มต้นปีที่อ่อนแอ
ขณะที่ตลาดนาฬิกามือสองยังคงฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากจุดต่ำสุดหลังการแพร่ระบาด ในเดือนกุมภาพันธ์ ค่าดัชนี Bloomberg Subdial Watch Index เพิ่มขึ้นประมาณ 5.3% จนถึงปลายเดือนพฤษภาคม กลับสู่ระดับที่เคยเห็นในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ราคาดังกล่าวยังห่างไกลจากระดับที่เคยพุ่งสูงขึ้นเมื่อสามปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาของนาฬิกาหรูมือสองทะยานขึ้นอย่างมากเมื่อการล็อกดาวน์จากโควิดสิ้นสุดลง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ทองบวก ขานรับ "ทรัมป์เอฟเฟกต์" ขู่ขึ้นภาษีอินเดีย
- "ขายดี" ตามทองคำ เครื่องประดับหรูในสหรัฐฯ โตแรงแซงกระเป๋า-เสื้อผ้า
- รัฐบาลไทยเร่งล้างบาง “สินค้าสวมสิทธิ์” เตรียมออกแถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐฯบรรลุดีล
- “สินค้าหรู” หลบไป “มาหาเศรษฐี” ยุคใหม่ ซื้อ “ความสุขยั่งยืน”
- นโยบาย"ทรัมป์" กระทบ"เที่ยวอเมริกา" นักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยลง นิวยอร์ก-LA ค้าปลีกวูบ