ตลาดผู้สูงวัยจีนโตแรง ดันธุรกิจเทคโนโลยี–สุขภาพ เชื่อมเป้าหมาย Net Zero
ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผู้สูงวัยจีน จำนวนมากเริ่มจับจ่ายมากขึ้น รายงานของรอยเตอร์ ได้ยกตัวอย่างให้เห็นอย่างชัดเจน อย่างหวัง ซูหยุน ข้าราชการเกษียณวัย 78 ปี ในปักกิ่ง ใช้เงิน 8,000 หยวน (ประมาณ 1,115 ดอลลาร์สหรัฐ) เข้าเรียนคอร์สโภชนาการเพื่อลดน้ำหนักและควบคุมน้ำตาลในเลือด พร้อมจ่ายอีก 1,200 หยวนซื้อรองเท้า Adidas นอกจากนี้ยังซื้อนมนำเข้าจากนิวซีแลนด์เป็นประจำ
กรณีนี้เป็นเพียงหนึ่งในผู้สูงวัยกว่า 300 ล้านคน ซึ่งเป็น “หัวใจ” ของ เศรษฐกิจผู้สูงวัย (Silver Economy) ที่รัฐบาลจีนกำลังเร่งส่งเสริม โดยในปี 2021 ปักกิ่งได้ออกแนวนโยบายเรียกว่า“ยุคใหม่ของผู้สูงอายุ” และปีนี้มีการออกเอกสารนโยบายที่เกี่ยวข้องมากกว่า 20 ฉบับ ครอบคลุมการยกระดับบริการอาหาร สุขภาพ การเงิน และโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ
ความเร่งด่วนของนโยบายนี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง ประชากรจีนกำลังเข้าสู่ สังคมสูงวัย อย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจำนวนคนอายุ 60 ปีขึ้นไปจะเพิ่มถึง 400 ล้านคนภายในปี 2035 ซึ่งเทียบเท่ากับประชากรสหรัฐฯ และอิตาลีรวมกัน
กำลังซื้อผู้สูงวัยแซงคนรุ่นใหม่
การใช้จ่ายโดยรวมของครัวเรือนจีนยังอ่อนแรง เนื่องจากคนรุ่นใหม่ขาดความมั่นใจ เผชิญปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า ทั้งสงครามการค้าและภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เต็มไปด้วยหนี้สิน จนทำให้เกิดทั้งภาวะเงินฝืด และความไม่มั่นคงในอาชีพ
นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า ผู้สูงวัยจีนรุ่นปัจจุบันมีฐานะดีกว่าคนรุ่นก่อนหน้า ผลจากการเติบโตอย่างรวดเร็วตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีเงินออมและเงินบำนาญเพียงพอสำหรับใช้จ่ายเพื่อคุณภาพชีวิต
ข้อมูลจาก Euromonitor International ระบุว่า การใช้จ่ายของครัวเรือนที่มีหัวหน้าครอบครัวอายุ 60 ปีขึ้นไป จะเพิ่มขึ้นถึง 129% ระหว่างปี 2015–2025 แซงหน้าการเติบโต 79% ของการใช้จ่ายประชากรโดยรวม และคาดว่าจะยังขยายตัวต่อไป โดยในปี 2040 การใช้จ่ายของกลุ่มนี้จะคิดเป็น 34% ของทั้งหมด เพิ่มจาก 24% ในปัจจุบัน
ธุรกิจแห่ลงสนาม Silver Tech
การเติบโตนี้ทำให้หลายบริษัทหันมาลงทุนในตลาด Silver Economy อย่างจริงจัง ตัวอย่างเช่น Lao Feng Xiang ผู้ผลิตเครื่องประดับเก่าแก่ที่เปิดตัว “แว่น AI” สำหรับผู้สูงวัย โดยช่วยอ่านฉลากยา เมนูอาหาร มีระบบนำทางด้วยเสียง และยังสนทนาเพื่อคลายความเหงา
Xiaomi ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีของจีน เสริมฟังก์ชันผู้สูงวัยในสมาร์ตโฟนและทีวี พร้อมระบบควบคุมสมาร์ตโฮมที่เปิดโอกาสให้ลูกหลานควบคุมไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศในบ้านผู้สูงอายุจากระยะไกล
ขณะที่Ping An กลุ่มธุรกิจประกันและสุขภาพ ได้เปิดตัวบริการดูแลผู้สูงวัยที่บ้าน ใช้ AI ตรวจวัดสุขภาพและประเมินความเสี่ยงสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมแล้วกว่า 75 เมืองทั่วประเทศ ถือเป็นการขยายบริการที่เริ่มเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2021
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 14 และ “Beautiful China 2025”
จีนบรรจุประเด็นสังคมผู้สูงวัยไว้ในยุทธศาสตร์ชาติควบคู่กับเป้าหมายความยั่งยืนและลดคาร์บอน เช่น ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 14 (2021–2025) ระบุให้ “เศรษฐกิจสีเงิน” (Silver Economy) เป็นโอกาสใหม่ทางธุรกิจ โดยเน้นพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุและบริการดูแลผู้สูงวัยแบบอัจฉริยะ พร้อมกันนั้น จีนตั้งเป้าลดความเข้มการปล่อยคาร์บอนและมุ่งสู่ “Beautiful China” ภายในปี 2025–2035
หมายถึงสังคมที่มนุษย์อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืนและมลภาวะลดลงอย่างเห็นได้ชัด สอดคล้องกับเป้าหมายปล่อยคาร์บอนสูงสุดก่อนปี 2030 และความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2060 ของจีน เรียกได้ว่านโยบายชาติจีนพยายามพัฒนาสังคมผู้สูงวัยไปพร้อมกับการเติบโตสีเขียว
การส่งเสริมการบริโภคอย่างยั่งยืนของผู้สูงวัย รายงานจาก OECD และหน่วยงานระหว่างประเทศชี้ว่าโครงสร้างประชากรที่สูงวัยขึ้นอาจเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดพฤติกรรมบริโภคที่ยั่งยืนมากขึ้น ใน OECD (2025) ชี้ว่า ประชากรสูงวัยต้องการโครงสร้างพื้นฐานและบริการที่เป็นมิตรกับวัย ส่งผลให้เกิดเศรษฐกิจผู้สูงวัย และการพัฒนาชุมชนที่มีหลายช่วงวัยสามารถส่งเสริมความยั่งยืนและความร่วมมือระหว่างรุ่นได้
นอกจากนี้งานวิเคราะห์โดยนักวิจัยนานาชาติ ยังเสนอว่า เศรษฐกิจสีเงินของจีนสามารถผนึกกับการเงินสีเขียว เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของผู้สูงอายุไปสู่สินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ถือเป็น ยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างยั่งยืน ในยุคที่สังคมกำลังสูงวัย
ในทำนองเดียวกัน งานวิจัยภายใต้โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) พบว่าการเข้าสู่สังคมสูงวัยส่งผลให้โครงสร้างการบริโภคเปลี่ยนไป ผู้สูงอายุจีนใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องนุ่งห่มลดลง ขณะเดียวกันเพิ่มการบริโภคด้านวัฒนธรรม การท่องเที่ยว และดูแลสุขภาพมากขึ้น ซึ่งการปรับโครงสร้างการบริโภคเช่นนี้ เอื้อต่อความยั่งยืนมากขึ้น เช่น ลดสัดส่วนการใช้ทรัพยากรในสินค้าพื้นฐานบางประเภท
บ้านอัจฉริยะและการลดคาร์บอน เทคโนโลยี Smart Home ถูกผลักดันในจีนให้เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลผู้สูงอายุและยังสอดคล้องกับเป้าหมายประหยัดพลังงาน/ลดคาร์บอนของประเทศด้วย ในรายงาน OECD ชี้ว่าการนำดิจิทัลและโครงการเมืองอัจฉริยะมาใช้สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงวัย ผ่าน telemedicine และเทคโนโลยีช่วยเหลือ ต่างๆ
นอกจากเพิ่มความสะดวกยังช่วยลดการเดินทางและใช้ทรัพยากรของระบบสุขภาพ รัฐบาลจีนเองมีนโยบาย “Internet Plus ผู้สูงอายุ” ที่ส่งเสริมการติดตั้งระบบสมาร์ทโฮมในครัวเรือนสูงวัย เพื่อตอบโจทย์ความปลอดภัย สุขภาพ และการประหยัดพลังงานในบ้านผู้สูงอายุ เช่น “แผนปฏิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพและการดูแลผู้สูงวัยอัจฉริยะ 2021–2025” ที่มุ่งส่งเสริมอุปกรณ์อัจฉริยะ (เซ็นเซอร์, หุ่นยนต์ช่วยดูแล, ระบบติดตามสุขภาพ) ในบ้านผู้สูงวัย
แนวทางเหล่านี้สอดคล้องกับกรอบ Beautiful China 2025 ที่เน้นนวัตกรรม IoT และ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานและลดมลพิษในภาคต่างๆ กล่าวคือ บ้านอัจฉริยะของผู้สูงวัยก็เป็นหนึ่งในการประยุกต์ใช้ IoT ที่ช่วย เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในครัวเรือน เช่น ระบบควบคุมการใช้ไฟฟ้า/เครื่องปรับอากาศตามความจำเป็น และลดการปล่อยคาร์บอนในภาพรวม
บริการสุขภาพเชิงป้องกันที่ลดการปล่อยคาร์บอน องค์การอนามัยโลกและสหประชาชาติ เน้นย้ำความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพผู้สูงวัยกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในทศวรรษแห่งผู้สูงวัย (2021–2030) โดยเสนอให้ประเทศต่างๆ สร้างระบบสุขภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการรองรับสังคมสูงวัย
ตัวอย่างเช่น WHO (2021) ระบุว่าจำเป็นต้องลงทุนในระบบบริการสุขภาพที่ ยั่งยืน คาร์บอนต่ำ และทนทานต่อสภาพอากาศ เพื่อรองรับประชากรสูงวัยที่มีโรคเรื้อรังและความเปราะบางสูง ทั้งยังจะเป็นประโยชน์กับผู้สูงวัยอย่างมาก
มาตรการนี้รวมถึงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ เช่น ที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวรับสภาพอากาศ (มีอากาศบริสุทธิ์ ลดความร้อน ลดมลพิษทางเสียง) การส่งเสริมอาหารที่ยั่งยืนต่อสุขภาพ ตลอดจนการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาวะสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อลดความต้องการรับบริการการแพทย์ที่มี คาร์บอนฟุตพริ้นท์ สูง
นอกจากนี้ การขยายบริการtelemedicine และการดูแลเชิงป้องกันในชุมชน ซึ่งจีนได้ริเริ่มในหลายเมือง ก็มีส่วนช่วยลดการเดินทางของผู้ป่วยสูงอายุและลดภาระของโรงพยาบาลใหญ่ ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากภาคการแพทย์