‘จุ๋ย-พุฒ’ เผยชีวิตสุดแฮปปี้ลูกสองกำลังดี เล็งปิดอู่ถาวร เผยพ่อติดลูกหนักมาก!
เป็นอีกครอบครัวที่สุดอบอุ่น สำหรับครอบครัวของ “พุฒ-พุฒิชัย เกษตรสิน” และ “จุ๋ย-วรัทยา นิลคูหา” ที่มีทั้งลูกชาย“น้องพีร์เจ” และลูกสาว “น้องเจเพิร์ล” ที่มาเติมเต็มความสุขให้กับครอบครัว รวมถึงยังสร้างรอยยิ้มให้แฟนๆ ได้หลงใหลกับความน่ารักของลูกทั้งสอง ซึ่งล่าสุดในงาน GIVE LIFE Got LIVES: สร้างกุศลผู้ให้ สร้างชีวิตใหม่ผู้รับ พุฒ-จุ๋ย ได้ควงคู่มาอัปเดตชีวิตหลังเป็นคุณพ่อคุณแม่ลูกสอง พร้อมเผยถึงการจัดสรรเวลาที่ต้องให้ความสำคัญกับลูกเป็นอันดับแรก เปรยเรื่องการปิดอู่ถาวรหลังชีวิตตอนนี้กำลังลงตัวอย่างมีความสุข
โดย จุ๋ย เผยว่า “ชีวิตการเป็นแม่ก็สนุกดีนะคะ จุ๋ยไม่ว่างเลยจริงๆ ในแต่ละวันมีอะไรให้ทำเยอะมาก อย่างวันนี้ก็ต้องรีบตื่นตั้งแต่ตีสี่ตีห้าเพื่อมาปั๊มนมก่อนแล้วถึงจะมางานได้ ส่วนพีร์เจกับน้องสาวของเขา เขารักน้องมาก ตื่นเช้ามาก็ต้องวิ่งเข้าไปหา เขามีการตั้งชื่อเล่นให้น้องด้วย คือน้องชื่อ 'น้องเจเพิร์ล' แต่ตอนที่จุ๋ยท้องยังไม่คลอด พีร์เจบอกว่าน้องชื่อ 'จูจู' เราก็เลยเอาชื่อนี้มาตั้งเป็นชื่อจีนให้เลย ส่วนชื่อ 'เจเพิร์ล' ก็ได้อากงตั้งให้ว่า 'จันจู' ซึ่งมีความหมายว่า 'ไข่มุก' จุ๋ยก็เลยได้ชื่อจริงของน้องด้วยว่า “มุกพิชชา” แต่พีร์เจก็จะเรียกน้องว่า จูจู เขาเอ็นดูน้องมาก อยากอุ้มแต่ก็อุ้มไม่ไหว
ส่วนความต่างของสองพี่น้อง จริงๆ นิสัยพื้นฐาน คือเลี้ยงง่ายทั้งคู่ คือกินง่ายนอนง่าย แต่ของคนเล็กเรื่องการกินนมจะน้อยกว่าพี่เจ เพราะพีร์เจเป็นผู้ชาย และคนเล็กก็สามารถฝึกนอนได้ เขาก็เลยนอนง่าย เรียกว่าพีร์เจว่าง่ายแล้ว แต่ลูกสาวง่ายกว่าอีก ถามว่าหน้าตาได้ใครมากกว่ากันก็ผสมๆ แต่คนก็ชอบบอกว่าพีร์เจได้แม่ ส่วนเจเพิร์ลหน้าเหมือนพ่อ มีหลายคนพูดแบบนี้ แต่บางคนก็บอกว่าดูสองคนนี้แล้วเหมือนแฝดกันเลย ก็กลายเป็นว่าสองคนนี้หน้าเหมือนกันอยู่ดี เราทำรูปเปรียบเทียบกันตอนทั้งคู่ยังเป็นเด็กแบเบาะ แล้วส่งไปให้คุณแม่กับญาติๆ ดู ทุกคนก็แยกไม่ออกว่าตกลงใครเป็นใคร
ถามถึงเรื่องการปิดอู่ มีสองคนแล้วจะปิดอู่เลยไหม จุ๋ยคิดว่าสองคนเพียงพอแล้ว และรู้สึกว่าชีวิตประจำวันของเราตอนนี้กำลังดี ถามว่ามันยังมีเปอร์เซ็นต์อยู่ไหม คือเราก็ไม่รู้ว่าถ้าเผื่ออยู่ดีๆ มีขึ้นมา แต่จริงๆ แล้วก็คิดว่ามีไม่ได้แล้วแหละ เพราะว่าเรามียากมาก ตอนที่เราบอกให้คุณพ่อไปทำหมัน เขาก็บอกว่ามีไม่ได้หรอก มียาก ซึ่งการเลี้ยงลูกจริงๆ เรามีพี่เลี้ยงนะ แต่พี่เลี้ยงคือผู้ช่วย หน้าที่หลักคือพ่อแม่ ฉะนั้น 24 ชั่วโมงเราก็แทบจะให้ลูกทั้งหมด เราเลี้ยงลูกเกือบ 100% ดังนั้น เราให้ความสำคัญกับเวลามากๆ รวมถึงทุนทรัพย์ เพราะการเลี้ยงเด็กคนนึงมันไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเราอยากจะมีทุนทรัพย์ไว้สำหรับแบ่งปันให้คนอื่นด้วย และดูแลลูกเราอย่างดีด้วย เราคิดว่าเอาเท่าที่เราเหมาะสม เอาเท่าที่ครอบครัวเรารับไหว ฉะนั้น ครอบครัวสี่คนก็กำลังดีสำหรับเรา แต่ถ้าคิดเล่นๆ คนต่อไปจะเป็นเพศชายหรือหญิงก็คือได้หมดจริงๆ เรื่องเพศเราไม่ติดเลย ไม่ว่าจะเป็นลูกผู้ชายหรือลูกผู้หญิงเรามีความสุขหมด ถ้าในอนาคตข้างหน้าบังเอิญมาเราก็ยินดีต้อนรับเขาอยู่แล้ว แต่แค่ตอนนี้ขนาดครอบครัวเรากำลังพอดีและไม่ได้คิดวางแผนว่าจะเพิ่มไปมากกว่านี้ ส่วนคนรอบข้างไม่ได้มีเชียร์เพราะเขารู้สึกว่ามันพอดีมาก แต่ก็อาจจะมีบางท่านที่แวะเวียนมาตามโซเชียลและเห็นลูกเราที่กำลังจ้ำม่ำน่ารักก็เข้ามาบอกว่าให้มีอีกคนเลย
สำหรับน้องพีร์เจพรุ่งนี้ก็เริ่มไปโรงเรียนแล้ว พรุ่งนี้คือเปิดเทอมวันแรก (พุฒ: เดี๋ยวถ่ายคลิปไว้แล้วมาดูกันว่า พีร์เจ คุณจุ๋ย หรือคุณพุฒ ใครจะร้องไห้ก่อน) แต่จุ๋ยคิดว่าตัวเองไม่น่าร้องเพราะว่าโรงเรียนใกล้บ้าน ถามว่าไปโรงเรียนอินเตอร์ไหม สำหรับเราเรารู้สึกว่าพีร์เจมีการพัฒนาด้านภาษาได้ดี พูดได้เร็ว ก็ปรึกษาหลายท่าน ท่านเหล่านั้นก็บอกว่าถ้าลูกพูดได้เร็วหรือการสื่อสารดีก็จะให้ศึกษาแบบภาษาที่สองที่สามไปเลย ก็จะเป็นโรงเรียนที่มีทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน
ส่วนความสวีทสำหรับคู่เรา (จุ๋ยกอดพุฒ) ก็สวีทกันในทุกวันแต่เป็นแบบของเรา เป็นรูปแบบที่เราเป็นคุณพ่อคุณแม่แล้ว ถามว่ากลับมารับงานวงการบันเทิงบ้างไหม คือถ้าเป็นในส่วนของละครไม่ได้รับเลย แต่ถ้ามางานอีเวนต์ หรือถ่าย YouTube หรืออะไรที่สามารถทำให้เราจัดสรรเวลาได้ วันเดียวเสร็จก็จะรับ แต่ถ้าต้องมารับผิดชอบยาวๆ เรากลัวว่าเราจะรับผิดชอบละครได้ไม่ดี เรารู้สึกว่าชีวิตเราเรื่องลูกมันสำคัญ ดังนั้นเราก็จะทำธุรกิจส่วนตัวของเรา เราสามารถให้ทีมงานของเรามาประชุมที่บ้านได้ และออฟฟิศก็ใกล้บ้านมาก คือจะพยายามตัดอะไรที่เราจะต้องไปไกลเพื่อให้ดูแลลูกได้เต็มที่ ส่วนงานละครเคยมีคนติดต่อมาแต่มันเป็นช่วงที่มีแพลนคนที่สองก็เลยไม่ได้ แต่ช่วงนี้ก็อาจจะกลับมารับงาน แต่เราว่าตอนนี้เหมือนงานในวงการบันเทิงพวกที่เป็นละครซีรีส์มันไม่ได้มีเยอะอยู่แล้ว ก็คิดว่าการที่เราจะได้เล่นเรื่องไหนสักเรื่องหนึ่งก็ต้องเหมาะกับเรามากๆ ไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะมีโอกาสได้กลับไปเล่นละครอีกหรือเปล่า เราไม่ได้หันหลังให้วงการนะ แต่แค่บางงานที่ไม่สามารถรับผิดชอบได้เราก็ตัดที่ตัวเราเองดีกว่า"
พุฒ เผยว่า "ในเรื่องของการแบ่งกันเลี้ยงลูกหลักๆ ก็คือ ถ้าเป็นเรื่องโภชนาการหรือการเลี้ยงดูหลักๆ ก็จะเป็นคุณแม่ แต่ถ้าเป็นเรื่องพาทำกิจกรรมโลดโผนสนุกสนานก็จะเป็นเรา อย่างลูกคนโตน้องพีร์เจหลักๆ ก็จะเป็นผมที่จะพาไปทำนู่นทำนี่ พาเข้านอน ส่วนจุ๋ยก็จะดูแลคนเล็ก สำหรับการเลี้ยงลูกคือตอนแรกเราคิดว่าผู้หญิงจะดูเรียบร้อย แต่กลายเป็นผู้หญิงดูแอคทีฟมาก โลดโผน เหมือนชอบให้เล่นอะไรหวาดเสียว ส่วนพีร์เจเขาจะมีดีเอ็นเอของความเป็นจุ๋ยอยู่ในตัว อย่างเวลาไปเล่นเครื่องเล่นสไลเดอร์ เขาขึ้นไป เขาก็จะบอกว่าเขากลัว กลัวความสูง แต่ลูกสาวน่าจะชอบอะไรแบบโลดโผน
เรื่องของการปิดอู่ ช่วงนี้ก็แฮปปี้ดี ลูกสองคนก็มาไกลเกินกว่าที่เราคิดไว้ เพราะเราพยายามกันมาตั้งแต่แรก คิดว่าลูกชายหนึ่งคนลูกหญิงหนึ่งคนก็มีความสุขมากๆ แล้วครับ ส่วนเรื่องอนาคตจะมีไหมก็ให้มันเป็นเรื่องของอนาคต คือ จุ๋ยเคยถามว่าให้เราไปทำหมันไหม เผื่อปุ๊บปั๊บรับโชค เราก็เลยบอกว่ากว่าจะได้พีร์เจกับเจเพิร์ลมานี่ สภาพร่างกายของคุณแม่มันไม่สมบูรณ์ไง กว่าจะเก็บไข่ กว่าจะผ่านกระบวนการอะไรมามันยากมาก แต่ถ้าเขาให้ไปทำก็ไม่มีปัญหา ก็ยินดีครับ แต่ถ้าแม่เผื่อฟลุกอยากมีอีกคนนึงเราก็ไม่ติด
พรุ่งนี้พีร์เจก็ไปโรงเรียนแล้ว ถามว่าจะร้องไห้ไหมคือตัวผมค่อนข้างจะเซนซิทีฟ ถ้าเป็นเรื่องลูก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง เพราะเห็นจากหลายครอบครัวบางทีลูกไม่ร้องแต่คุณพ่อคุณแม่ร้องไห้ ต้องรอดูกัน แล้วทุกวันนี้คือทำงานเสร็จปุ๊บก็รีบกลับบ้านเลย สิ่งไหนที่มันไม่จำเป็นเราก็ตัดออกเพราะว่าลูกกำลังน่ารัก ขนาดแค่ออกไปทำงานรถติดเรายังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วตัวผมเป็นคนชอบเด็กอยู่แล้ว เวลาเด็กๆ ทำกิจกรรมอะไรด้วย เราอยู่ใกล้เขามันก็อบอุ่นแล้ว พ่อติดลูกมาก ส่วนความสวีทของพวกเราก็ยังสวีทกันอยู่บ้างแต่ไม่อยากสวีทต่อหน้าลูก ลูกชายเขาจะมาบอกว่า หม่ามี้อยากหอมปะป๊าเหรอ คือเขาหวงพ่อมาก เขาจะบอกให้หม่ามี้ออกไปก่อน"
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก warattaya