โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ทำไม ‘ทรัมป์’ ก้มหัวให้ ‘สี’ แต่แยกเขี้ยวกางเล็บใส่ ‘โมดี’

Manager Online

เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • MGR Online

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/08/why-trump-bows-to-xi-but-batters-and-mauls-modi/)

Why Trump bows to Xi but batters and mauls Modi

by Bhim Bhurtel

14/08/2025

ความเข้มแข็งของจีน และความอ่อนแอของอินเดีย ในการต่อกรกับสหรัฐฯนั้น มีรากเหง้าต้นตอมาจากการคำนวณผลได้ผลเสียในเชิงเศรษฐศาสตร์มหภาคแบบเปิดกว้างอย่างปราศจากการใส่อารมณ์ความรู้สึกและอย่างไร้ความเมตตาปรานี

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ขยายเวลาใช้ข้อตกลงสงบศึกชั่วคราวด้านภาษีศุลกากรกับประเทศจีนออกไปอีก 90 วัน [1] ขณะที่กลับขันสกรูบีบเค้นเล่นงานอินเดียชนิดไม่อ่อนข้อผ่านปรน ท่าทีซึ่งแตกต่างกันมากเช่นนี้ มีรากเหง้าต้นตอมาจากการคำนวณผลได้ผลเสียในเชิงเศรษฐศาสตร์มหภาคแบบเปิดกว้าง (open macroeconomics) อย่างปราศจากการใส่อารมณ์ความรู้สึก กล่าวคือ มุ่งพินิจพิจารณาที่ดุลแห่งอำนาจของเศรษฐกิจภาคแท้จริง (real economic power), ความได้เปรียบในทางห่วงโซ่อุปทาน, ทรัพยากรทางๆ ทางยุทธศาสตร์ ซึ่งต่างก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้วินิจฉัยตัดสินได้ว่า ใครกันที่สามารถทนทานต่อสู้ในสงครามการค้าได้อย่างยาวนาน และใครกันที่จะต้องพ่ายแพ้ยอมยกธงขาว

ในปี 2024 ที่ผ่านมา สหรัฐฯขาดดุลการค้าจีนในด้านที่เป็นตัวสินค้า (goods trade deficit) คิดเป็นมูลค่า 295,500 ล้านดอลลาร์ยูเอส [2] โดยเป็นผลจากการที่จีนมีฐานะครอบงำในด้านอุตสาหกรรมการผลิต อีกทั้งแสดงบทบาทเป็นซัปพลายเออร์ราคาถูกของโลกสำหรับสินค้าจำพวกอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องจักร, ตลอดจนพวกสินค้าขั้นกลาง (intermediate goods) ทั้งหลาย

ในบรรดาสินค้าทั้งหมดที่สหรัฐฯนำเข้านั้น คิดคร่าวๆ ก็มีถึงราว 30% ซึ่งแหล่งต้นตอที่มาคือประเทศจีน จึงกลายเป็นการขึ้นต่อพึ่งพาในเชิงโครงสร้างที่แฝงฝังอยู่อย่างแน่นหนาชนิดที่การใช้ภาษีศุลกากรเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่สามารถที่จะปลดเปลื้องออกไปได้โดยไม่กลายเป็นการกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและภาวะความปั่นป่วนผันผวนทางห่วงโซ่อุปทานขึ้นมาในสหรัฐอเมริกาเอง

การข่มขู่ของทรัมป์ที่จะจัดเก็บภาษีศุลกากรอัตราสูงสุดถึง 145% เอากับสินค้านำเข้าจากจีน เป็นเพียงยุทธวิธีในการเจรจาต่อรองเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการเดินไปบนเส้นทางเพื่อการแยกขาดจากแดนมังกรอย่างจริงจังแต่อย่างใด เพราะถึงอย่างไรอเมริกาก็ไม่สามารถละเลยเพิกเฉยต่อความเป็นจริงในทางเศรษฐศาสตร์มหภาคได้ นั่นคือ สหรัฐฯนั้นกำลังบริโภคสิ่งที่จีนผลิต และจีนกำลังผลิตในขนาดขอบเขตตลอดจนในระดับราคาที่ประคับประคองให้สหรัฐฯมีเสถียรภาพทางด้านราคา

ดังนั้นเมื่อถึงเดือนพฤษภาคม 2025 สิ่งที่เรียกกันว่า “การสงบศึกชั่วคราว” ซึ่งสหรัฐนลดอัตราภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากจีนลงมาเหลือ 30% จึงเป็นการยอมรับรู้ว่า ยิ่งปล่อยให้สงครามภาษีศุลกากรยืดเยื้อออกไป ผู้ที่จะต้องแบกรับต้นทุนค่าใช้จ่ายซึ่งเกิดขึ้นก็จะเป็นพวกผู้บริโภค, อุตสาหกรรมทั้งหลาย, และตลาดต่างๆ ของสหรัฐฯนั่นเอง

เครื่องจักรส่งออกมูลค่า 3.59 ล้านล้านดอลลาร์ของจีน ไม่ใช่เพียงแค่มีขนาดใหญ่เท่านั้น มันยังอยู่ในลักษณะกระจายตัวและมีความหยุ่นตัวสามารถทนรับแรงบีบคั้นต่างๆ ได้ดีอีกด้วย ในปี 2024 ทั้งๆ ที่เจอเข้ากับอัตราภาษีศุลกากรชนิดมุ่งเป็นการลงโทษจากวอชิงตัน แต่ปักกิ่งก็ยังสามารถประคับประคองให้มีความได้เปรียบสรัฐฯทั้งดุลการค้าที่เป็นตัวสินค้าและที่เป็นบริการ รวมแล้วเท่ากับ 262,330 ล้านดอลลาร์ [3] รวมทั้งยังชดเชยส่วนที่เสียหายไปด้วยการหันเหส่งออกสินค้าของตนไปที่กลุ่มประเทสอาเซียน, ยุโรป, และพวกหุ้นส่วนในแผนการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ขนาดการส่งออกอันสูงลิ่วของแดนมังกร –เปรียบเทียบแล้วอยู่ในราวๆ เกือบๆ 30 เท่าตัวของยอดส่งออกของอินเดีย— เปิดทางให้จีนสามารถดูดซับภาวะช็อกต่างๆ ซึ่งถ้าเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีขนาดเล็กกว่าก็อาจถึงกับเป็นอัมพาตได้

เมื่อวอชิงตันขยายศึกภาษีศุลกากรให้บานปลายออกไป ปักกิ่งก็ตอบโต้ด้วยการประกาศเก็บภาษีอัตรา 125% เอากับพวกผลิตภัณฑ์การเกษตรสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเล่นงานใส่ฐานคะแนนเสียงของทรัมป์ ความสามารถในการตอบโต้เอาคืนแบบพุ่งเป้าเล่นงานจุดเจ็บๆ ทางการเมือง ขณะเดียวกับที่ยังคงพยุงอัตราการเติบโตของการส่งออกเอาไว้ได้เช่นนี้ บีบบังคับให้ทรัมป์ต้องเข้าสู่การเจรจาต่อรองที่เจนีวาในเดือนพฤษภาคม 2025 เพื่อรักษาเสถียรภาพของการไหลเวียนของสินค้า และการคาดการณ์ทางด้านจีดีพีของทั่วโลก ซึ่งได้ซวนเซถอยลงมาแล้วราว 2.8% ท่ามกลางความอลหม่านผันผวนของตลาด

สำหรับสหรัฐฯ การเดินหน้าทำให้สถานการณ์บานปลายขยายตัวออกไปอีกมีความเสี่ยงไม่เพียงทำให้ราคาผู้บริโภคพุ่งพรวดเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกนักลงทุนขวัญผวา ดังมีหลักฐานเห็นได้จากการที่ดัชนีหลักทรัพย์ เอสแอนด์พี 500 หล่นลงมา 3% [4] ในช่วงที่อัตราภาษีศุลกากรขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดในปี 2025 นี้

ในอีกด้านหนึ่ง เงินหยวนจีนนั้นไม่เหมือนกับเงินรูปีอินเดีย มันเป็นสกุลเงินตราที่ยังคงถูกรัฐบาลควบคุม จึงทำให้ปักกิ่งสามารถลดทอนผลกระทบจากภาษีศุลกากร ด้วยวิธีการลดค่าเงินแบบมีการบริหารจัดการ [5] –ทำให้ในปี 2024 เงินหยวนมีค่าอ่อนตัวลง 5% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์— เป็นการรักษาความสามารถในการแข่งขันของสินค้าออกของจีนเอาไว้ได้โดยปลอดจากการจุดชนวนให้เกิดภาวะไร้เสถียรภาพภายในประเทศขึ้นมา เครื่องช่วยทางการเงินเช่นนี้เป็นตัวสร้างความสมดุลทางเศรษฐศาสตร์มหภาคที่มีพลังมากตัวหนึ่งในเวลาที่เกิดความยุ่งยากขัดแย้งทางการค้าขึ้นมา ทว่ามันก็เป็นอย่างหนึ่งที่อินเดียไม่ได้มีอยู่ในครอบครอง

การที่ในเดือนสิงหาคม 2025 นี้วอชิงตันยินยอมขยายการหยุดยิงด้านภาษีศุลกากรกับจีนออกไปอีก 90 วัน เท่ากับเป็นการยอมรับอย่างอ้อมๆ ว่าจีนมีความสามารถที่จะสยบแรงบีบคั้นทางภาษีศุลกากรจากสหรัฐฯได้โดยใช้นโยบายด้านเงินตรา ทำให้แน่ใจได้ว่าภาษีศุลกากรสหรัฐฯนั้นไม่สามารถบ่อนทำลายในเชิงโครงสร้างต่อความสามารถในการแข่งขันของจีน ถ้าหากวอชิงตันไม่ปรารถนาที่จะกระตุ้นให้อัตราเงินเฟ้อของตนเองพุ่งแรงกลายเป็นปัญหาใหญ่

เรื่องที่ปักกิ่งมีฐานะครอบงำเหนือพวกห่วงโซ่อุปทานที่ทรงความสำคัญอย่างยิ่งยวด ก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งซึ่งทำให้จีนอยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งในการเจรจาต่อรอง ในปี 2024 นั้น เซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมดที่นำเข้าสหรัฐฯ มีถึง 60% ทีเดียวมาจากจีนหรือจากเครือข่ายที่เกี่ยวข้องพัวพันกับจีน ขณะเดียวกัน ฐานะครอบงำของปักกิ่งทั้งในเรื่องแร่แรร์เอิร์ธ และแร่ธาตุทางยุทธศาสตร์อื่นๆ –แร่ธาตุเหล่านี้เป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้สำหรับพวกอุตสาหกรรมไฮเทค, อุตสาหกรรมพลังงาน, และอุตสาหกรรมผลิตอาวุธในสมัยนี้ – หมายความว่า การสะดุดชะงักใดๆ ถ้าหากยืดเยื้อออกไปก็มีแต่จะเพิ่มต้นทุนการผลิตของสหรัฐฯในภาคเทคโนโลยีและภาครถยนต์สูงขึ้นไปราว 10-15% ได้ทีเดียว

ในเศรษฐศาสตร์มหภาคแบบเปิดกว้าง ความสามารถในการทำให้ห่วงโซ่การผลิตของฝ่ายปรปักษ์เกิดการอุดตันหายใจไม่ออก คือพลังอำนาจสูงล้ำพอๆ กับความสามารถในการควบคุมน้ำมันในช่วงทศวรรษ 1970 จีนมีความได้เปรียบเช่นนี้อยู่ในมือ ขณะที่อินเดียนั้นไม่มี ทรัมป์สามารถที่จะข่มขู่ใช้ภาษีศุลกากรในขนาดขอบเขตที่น่าตื่นตะลึง ทว่าปักกิ่งก็สามารถเตือนอย่างเงียบๆ ให้วอชิงตันระลึกเอาไว้ว่าจีนคือผู้ที่นั่งอยู่บนยอดของซัปพลายแร่ธาตุอันสำคัญยิ่งยวด ซึ่งถ้าหากขาดหายไป เศรษฐกิจภาคแท้จริงของสหรัฐฯ –ทั้งการผลิตสินค้า, บริการ, พลังงาน, วัตถุดิบ, และเทคโนโลยี—ก็จะไม่สามารถดำเนินไปตามปกติได้

ยุทธวิธีใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือข่มขู่คุกคามจนกระทั่งถึงสุดขอบเหมือน “คนบ้า” (“madman” tariff brinkmanship) ของทรัมป์นี้ ได้รับการวางแผนมาเพื่อบีบคั้นรีดไถให้ฝ่ายตรงข้ามต้องจำยอมอ่อนข้อเสนอให้ผลประโยชน์ต่างๆ แต่ปรากฏว่าต้องเผชิญกับคนตัวใหญ่เกือบเท่ากันอย่างประเทศจีน –ที่ในปี 2024 เป็นระบบเศรษฐกิจซึ่งได้เปรียบดุลการค้าคิดเป็นมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ และมีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่เป็นจำนวน 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ , มีอัตราเติบโตของจีดีพีอยู่ที่ 5%, รวมทั้งมีตลาดที่หลากหลายยิ่ง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว สหรัฐฯเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อซึ่งไต่ขึ้นไปเป็น 4.2% ในปี 2025 ภายใต้แรงกดดันจากเรื่องภาษีศุลกากร ขณะที่ความไม่พอใจของพวกรัฐเกษตรกรรมในอเมริกาเองก็กำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

ข้อตกลงที่ทำกันในเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งครอบคลุมถึงการที่สินค้าออกด้านเกษตรกรรมของสหรัฐฯจะเข้าสู่ตลาดจีนเพิ่มมากขึ้นด้วยนั้น มีความหมายในทางเป็นชัยชนะของอเมริกา น้อยกว่าเป็นการที่วอชิงตันต้องยอมรับความเป็นจริงที่ว่าระบบเศรษฐกิจที่เป็นอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ที่สุดของโลกอย่างจีน ไม่สามารถที่จะบีบบังคับให้ยอมจำนนเพียงด้วยนโยบายภาษีศุลกากรอย่างเดียวเท่านั้น

อินเดียที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันยากลำบาก คือบานกระจกที่เสมือนกับตั้งอยู่ในทิศทางตรงกันข้าม ด้วยยอดผลิตภัณฑ์รวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2024 อยู่ที่ 3.9 ล้านล้านดอลลาร์ [6] –ราวๆ หนึ่งในห้าของจีดีพีจีน— เศรษฐกิจภาคแท้จริงของแดนภารตะจึงยังคงอยู่ในขนาดที่ไม่อาจยืนหยัดเผชิญหน้ากับสหรัฐฯได้อย่างเต็มตัว ยิ่งกว่านั้นยอดการส่งออกไปยังสหรัฐฯยังอยู่ที่ระดับ 87,000 ล้านดอลลาร์ เท่ากับ 2% ของจีดีพี โดยรวมศูนย์อยู่ในภาคอุตสาหกรรมซึ่งอินเดียมีความอ่อนแอที่จะถูกอเมริกามองเมินได้ง่ายๆ อย่างเช่น ยาเวชภัณฑ์, สิ่งทอ, และบริการทางด้านไอที

มาตรการภาษีศุลกากรอัตรา 50% ที่ทรัมป์ประกาศใช้กับอินเดีย (โดยที่ 25% ถือเป็นภาษีตอบโต้ แล้วบวกกับอีก 25% เป็นภาษีลงโทษที่แดนภารตะยังคงนำเข้าน้ำมันรัสเซีย) เป็นสิ่งที่สร้างอันตรายให้แก่รายรับจากการส่งออกของแดนภารตะที่ตกปีละราวๆ 40,000 ล้านดอลลาร์ สภาพเช่นนี้สามารถตีความหมายในทางเศรษฐศาสตร์มหภาคได้อย่างชัดเจนมากๆ นั่นคือ มีความเป็นไปได้ที่จีดีพีอินเดียจะต้องหดตัวลง 1-2% และตำแหน่งงานจะหายไปเป็นจำนวนล้านๆ ตำแหน่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพวกอุตสาหกรรมเน้นการใช้แรงงาน ซึ่งผลสะเทือนสะท้อนกลับทางการเมืองจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีความหมาย

ไม่เพียงเท่านั้น อินเดียยังมีปัญหาการต้องพึ่งพาทางการค้าภายนอก ซึ่งทำให้ความอ่อนแอของแดนภารตะยิ่งมีความสลับซับซ้อนขึ้นไปอีก ทั้งนี้อินเดียขาดดุลการค้ากับจีนราวๆ 85,000 ล้านดอลลาร์ โดยที่ต้องพึ่งพาอาศัยสินค้าจีนอย่างมากมายเหลือเกินทั้งพวกผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์, APIs (Application Programming Interface ส่วนต่อประสานโปรแกรมประยุกต์), และอินพุตทางอุตสาหกรรม การต้องพึ่งพาอาศัยเช่นนี้เป็นเครื่องลดทอนศักยภาพความสามารถใดๆ ก็ตามของอินเดียในการตอบโต้เอาคืนอย่างสมน้ำสมเนื้อกับมาตรการภาษีศุลกากรสหรัฐฯ ทั้งนี้เนื่องจากความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการผลิตอินเดียตกเป็นเชลยของห่วงโซ่อุปทานจีนเสียแล้ว

พิจารณากันในแง่เศรษฐกิจมหภาค ชาติหนึ่งชาติใดก็ตามที่ต้องนำเข้าพวกสินค้าขั้นกลางจากประเทศซึ่งจริงๆ แล้วเป็นประเทศที่ตนเองต้องแข่งขันด้วย ชาตินั้นๆ ย่อมไม่สามรรถบงการกำหนดเงื่อนไขทางการค้าเอากับมหาอำนาจรายที่สามได้ จีนนั้นสามารถหันไปส่งออกให้แก่ประเทศอื่นๆ ได้ แต่อินเดียถึงยังไงก็ต้องซื้อหาพวกสินค้าขั้นกลางของจีน

นอกจากนั้นแล้ว ความจำกัดทางด้านสกุลเงินตราและทุนสำรองระหว่างประเทศ ก็ส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อรูปทางทางการค้าระหว่างประเทศของอินเดีย เงินรูปีอินเดีย ซึ่งต้องขึ้นต่อแรงบีบคั้นกดดันของตลาด ไม่ใช่อยู่ในอำนาจควบคุมทางการบริหารของทางการแดนภารตะ ได้อ่อนตัวลงมา 3.9% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ในปี 2024 [7] กลายเป็นการนำเอาภาวะเงินเฟ้อเข้ามาในประเทศและกัดกร่อนอำนาจซื้อในภาคครัวเรือนแดนภารตะ แล้วด้วยทุนสำรองที่มีอยู่ 700,000 ล้านดอลลาร์ –คิดเป็นแค่ส่วนเสี้ยวของทุนสำรองของจีน—อินเดียจึงยังคงขาดแคลนกำลังยิงสำหรับปกป้องสกุลเงินตราของตน หรือสำหรับเข้าอุดหนุนพวกอุตสาหกรรมส่งออกได้อย่างยาวนาน

อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (core Inflation)ของอินเดียซึ่งก็ขึ้นมาอยู่ที่ 4.5% อยู่แล้วในปี 2025 นี้ [8] สามารถที่จะทะลุขีด 7% ได้อย่างง่ายดายหากภาวะช็อกจากภาษีศุลกากรเกิดส่งผลยืดเยื้อออกไป เวลาเดียวกันภาวะขาดดุลงบประมาณที่สูงเท่ากับ 5.1% ของจีดีพี [9] ก็ทำให้นิวเดลีแทบไม่เหลือช่องทางสำหรับการใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อต่อต้านผลซึ่งเกิดขึ้นจากการขึ้นลงตามวัฏจักร ในทางตรงกันข้าม จีนกลับสามารถใช้เงิน 500,000 ล้านดอลลาร์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2024 โดยไม่มีความเสี่ยงว่าจะกระทบความน่าเชื่อถือทางด้านการคลังแต่อย่างใด

เศรษฐศาสตร์การเมืองภายในประเทศก็เป็นตัวขยายให้เห็นถึงความเปราะบางของอินเดียเช่นกัน ตำแหน่งงาน 2-3 ล้านตำแหน่งที่ตกอยู่ในความเสี่ยง จากภาษีศุลกากรซึ่งสหรัฐฯจัดเก็บในอัตราสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพวกอุตสาหกรรมเครื่องหนัง, เครื่องเพชรพลอยและอัญมณี, ตลอดจนสินค้าส่งออกที่ผลิตโดยเน้นการใช้แรงงาน จะกลายเป็นเชื้อเพลิงทำให้เกิดความไม่สงบทางการเมืองขึ้นมาในฉับพลันทันทีในระบบการปกครองประชาธิปไตยซึ่งมีความอ่อนไหวต่อภาวะช็อกทางด้านราคาและอัตราการว่างงาน

ปักกิ่งนั้นสามารถที่จะสยบปราบปรามพวกผู้ไม่เห็นด้วยกับทางการ และยืดขยายสงครามการค้าให้ยาวนานเกินกว่าวัฎจักรการเลือกตั้งได้ ขณะที่นิวเดลีกลับต้องให้คำตอบซึ่งเป็นที่น่าพอใจแก่พวกผู้ออกเสียงเลือกตั้งในระยะเวลาที่เร็วกว่ากันนักหนา ลักษณะอสมมาตรทางโครงสร้างในเรื่องความอดทนอดกลั้นทางการเมืองเช่นนี้ คือส่วนประกอบที่สำคัญยิ่งยวด แม้ไม่ค่อยมีการเน้นย้ำเท่าใดนัก ของภาวะความหยุ่นตัวในการทนรับกับแรงบีบคั้นในทางการค้า

หันมามองกันในมิติของภูมิรัฐศาสตร์บ้าง ต้องถือว่าอินเดียเพิ่งกระทำความผิดพลาดอย่างร้ายแรงเนื่องจากขาดความยั้งคิด การที่แดนภารตะนำเข้าน้ำมันรัสเซียเป็นมูลค่าสูงถึง 40,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 กลายเป็นชนวนทำให้เจอกับการแซงก์ชั่นทุติยภูมิ (secondary sanctions) ของสหรัฐฯ กลายเป็นการเชื้อเชิญให้ถูกเล่นงานด้วยภาษีศุลกากรของทรัมป์ อันที่จริงจีนก็ซื้อหาน้ำมันรัสเซียเหมือนกัน ทว่าสามารถปกป้องตนเองเอาไว้ได้โดยอาศัยคุณสมบัติที่ในทางเศรษฐกิจแล้วใครๆ ก็จะขีดฆ่าทิ้งไม่เอาแดนมังกรเลยไม่ได้ บวกกับความสามารถของจีนในการข่มขู่ตอบโต้เอาคืนอย่างชนิดที่สร้างความเสียหายให้แก่พวกห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯเองอีกด้วย

อินเดียซึ่งมีตลาดขนานที่เล็กกว่าและมีอำนาจการต่อรองที่อ่อนแอกว่า จึงกลายเป็นเป้าหมายที่นุ่มนิ่มจัดการได้ง่ายกว่า การบังคับใช้มาตรการภาษีของทรัมป์นั้นดำเนินไปอย่างมีการมีเลือกสรร –ดังจะเห็นได้จากการที่วอชิงตันไม่แตะต้องการค้าที่อียูยังคงทำกับรัสเซียซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 67,500 ล้านดอลลาร์— เป็นการเดินหมากแบบผ่านการคำนวณขบคิด จึงฉวยใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอของอินเดีย ขณะที่ยังคงหลีกเลี่ยงไม่สร้างความร้าวฉานรอยใหม่กับยุโรปขึ้นมา

โอกาสทางการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ที่เรียกขานกันว่า “จีนบวกหนึ่ง” (China Plus One) ซึ่งหมายถึงการที่พวกบริษัทนานาชาติแสวงหาทางลดทอนผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ด้วยการหันมากระจายพวกห่วงโซ่อุปทานให้ถอยห่างออกจากแดนมังกร โดยหไปลงทุนยังจุดอื่นๆ ซึ่งอยู่นอกประเทศจีนแทนนั้น โอกาสดังที่ว่านี้จำนวนมากมายทีเดียว ต่างผ่านข้ามอินเดียไป ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาของแดนภารตะไม่ว่าในเรื่องช่องว่างทางโครงสร้างพื้นฐาน, อุปสรรคกีดขวางทางระเบียบกฎเกณฑ์, และความไม่แน่ไม่นอนในทางนโยบาย เหล่านี้ล้วนกลายเป็นเครื่องจำกัดลดทอนเสน่ห์ดึงดูดพวกอุตสาหกรรมการผลิตระดับโลก

กระทั่ง นิตี อายอ็อก (NITI Aayog สถาบันแห่งชาติเพื่อการเปลี่ยนผ่านอินเดีย) หน่วยงานคลังสมองภาครัฐระดับสูงสุดของรัฐบาลอินเดีย ก็ยังกล่าวเอาไว้ในรายงานทบทวนปี 2024 ของทางสถาบันเอง ยอมรับว่าอินเดียประสบความล้มเหลวไม่สามารถดักจับ [10] การลงทุนโดยตรงต่างประเทศ (FDI) รายสำคัญๆ จากพวกกิจการที่กำลังถอยออกมาจากจีนเอาไว้ได้ ขณะที่ในเวลาเดียวกันนั้น กระทั่งเมื่อต้องตกอยู่ใต้ภาษีศุลกากรสุดโหด จีนก็ยังคงรักษาฐานะเหนือกว่าใครๆ ในด้านอุตสาหกรรมการผลิตของตนเอาไว้ และแถลงว่ายังคงได้เปรียบดุลการค้า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ในหลักคณิตศาสตร์ของการผลิตระดับโลกนั้น ขนาดคือสิ่งที่สามารถทำให้เกิดความหยุ่นตัวได้ ทว่าฐานซึ่งมีขนาดเล็กกว่าของอินเดียกลับกลายเป็นตัวขยายภาวะช็อก

พิจารณาจากทัศนะมุมมองในทางเศรษฐศาสตร์มหภาคแบบเปิดกว้าง ภาษีศุลกากรได้รับการสันนิษฐานว่าจะสร้างความเสียหายให้แก่การผลิตภาคแท้จริง (real production) –ไม่ว่าจะเป็นสินค้า, บริการ, พลังงาน, วัตถุดิบ, และเทคโนโลยี –โดยทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น และบิดเบือนการไหลเวียน ระบบเศรฐกิจแท้จริงที่มีขนาดเล็กกว่านั้นไม่สามารถก่อให้เกิดความเสียหายอย่างยืนยาวให้แก่ระบบเศรษฐกิจแท้จริงที่มีขนาดใหญ่กว่าได้ คนตัวใหญ่กว่าต่างหากที่เมื่อถึงเวลาก็สามารถกำหนดบงการเงื่อนไขต่างๆ ให้คนตัวเล็กกว่าต้องยอมตาม

นี่เองคือเหตุผลที่ทำไมจีนสามารถบังคับทรัมป์ให้ต้องยอมเจรจาต่อรองด้วย นั่นคือ แดนมังกรมีการผลิตในขนาดขอบเขต, ความหลากหลาย, และความประณีตซับซ้อนทางเทคโนโลยีในแบบของคู่แข่งขันที่มีขนาดใกล้เคียงกันกับสหรัฐฯ อีกทั้งยังสามารถควบคุมพวกแร่ธาตุทรงความสำคัญทางยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นตัวสนับสนุนสำคัญให้แก่อุตสาหกรรมการผลิตระดับก้าวหน้า แต่อินเดียนั้นอยู่ล้าหลังห่างไกลจากทั้งจีนและสหรัฐฯในเรื่องศักยภาพทางเทคโนโลยีและเรื่องความได้เปรียบทางทรัพยากร จึงไม่สามารถที่จะมาเล่นเกมอย่างเดียวกันได้

ยุทธศาสตร์ของทรัมป์ในการเลือกใช้การลงโทษหรือการมีปฏิสัมพันธ์อย่างมีการคัดสรรเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงภาวะอสมมาตรดังกล่าวนี้ ทั้งนี้ กับประเทศจีน เขาเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่ทั้งสามารถสร้างความเจ็บปวดให้แก่อุตสาหกรรมต่างๆ ของสหรัฐฯ พร้อมกันนั้นก็สามารถดูดซับความสูญเสียของตนเองได้อีกด้วย กับประเทาศอินเดีย เขาประจันหน้ากับคู่ค้าที่ต้องพึ่งพาอาศัยตลาดต่างๆ ของสหรัฐฯ, อ่อนเปราะต่อแรงบีบคั้นทางสกุลเงินตราและทางงบประมาณ, รวมทั้งไม่สามารถที่จะระดมมาตรการตอบโต้เอาคืนอย่างทัดเทียมกัน

ในหลักเหตุผลของเศรษฐศาสตร์มหภาคแบบเปิดกว้างแล้ว เพลเยอร์ที่แข็งแกร่งกว่าย่อมสามารถบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามต้องยอมอ่อนข้อยอมจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนต่างๆ ขณะที่เพลเยอร์ที่อ่อนแอกว่าต้องยินยอมเสียผลประโยชน์เหล่านี้

สำหรับอินเดียแล้ว เส้นทางเดินต่อไปข้างหน้าจักไม่ใช่เส้นทางเดินที่เรียบง่ายหรือที่สั้นๆ เลย การกระจายตลาดส่งออกโดยผ่านการทำข้อตกลงการค้าเสรีแบบเร่งด่วนกับทั้งสหภาพยุโรป, สหราชอาณาจักร, สมาคมอาเซียน, และรีเซป (RCEP ย่อมาจาก Regional Comprehensive Economic Partnership ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เป็นข้อตกลงการค้าเสรีระหว่าง 10 ชาติอาเซียน กับอีก 5 ชาติ ได้แก่ ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้) สามารถที่จะลดทอนการพึ่งพาสหรัฐฯลงไปได้ ทว่าการทำดีลเช่นนี้ย่อมต้องใช้เวลาแรมปีกว่าจะผลิดอกออกผลขึ้นมาได้ ขณะที่การสร้างทุนสำรองระหว่างประเทศโดยผ่านการออกพันธบัตรที่มุ่งขายให้แก่คนเชื้อสายอินเดียในต่างประเทศ หรือการแปลงให้ทองคำกลายเป็นตัวเงิน ย่อมสามารถที่จะทำให้ได้สภาพคล่องซึ่งเพิ่มเสถียรภาพให้แก่สกุลเงินตรา ทว่ามันก็จะอยู่ในสภาพที่เป็นการเพิ่มการเสริมเติมขึ้นมาอย่างไม่มากไม่มายอะไรเท่านั้น

การยินยอมให้จีนเข้าลงทุนแบบเลือกสรรในภาคอุตสาหกรรมที่ไม่อ่อนไหว อาจเพิ่มพูนความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการผลิต ถึงแม้มีความเสี่ยงที่จะเกิดแรงสะท้อนกลับทางการเมือง การลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานในโครงการใหญ่ๆ ขนาด 100,000 ล้านดอลลาร์เป็นระยะเวลา 5 ปี คือสิ่งจำเป็นสำหรับการดึงดูดการลงทุนโดยตรงต่างประเทศ (FDI) ที่จริงจังเป็นเรื่องเป็นราว กระนั้นความจำกัดทางงบประมาณย่อมคอยขัดขวางความมุ่งมาดปรารถนาเช่นนี้ กลุ่มบริกส์ (BRICS) ที่มีจีนเป็นผู้นำ เสนอแพลตฟอร์มสำหรับความหยุ่นตัวทางการค้า ทว่าอิทธิพลของอินเดียภายในกลุ่มนี้จะยังคงอยู่ในระดับเล็กน้อยเท่านั้น จนกว่าขนาดทางเศรษฐกิจของแดนภารตะเองจะสามารถเติบโตขยายตัวขึ้นมาเสียก่อน

การรับมือกับปักกิ่งของทรัมป์เกิดขึ้นมาจากการยอมรับความเป็นจริงที่ว่าภาษีศุลกากรไม่สามารถที่จะโค่นล้มทำลายระบบเศรษฐกิจแท้จริงที่มีขนาดใหญ่กว่า, ร่ำรวยด้วยทรัพยากร, และมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ โดยไม่กระตุ้นให้ตนเองเป็นฝ่ายประสบความเสียหายอย่างเลวร้ายยิ่งกว่า แต่กับนิวเดลี การคาดคำนวณอยู่ในลักษณะที่สะดวกง่ายดายกว่ามาก ภาษีศุลกากรจะทำให้แดนภารตะบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็วและลึกซึ้งในทางการเมือง ทำให้การต่อต้านขัดขืนมีค่าใช้จ่ายแพงลิ่ว และจึงมีความเป็นไปได้มากกว่าที่จะเกิดการยินยอมอ่อนข้อ

ถ้าหากอินเดียยังคงไม่อาจสร้างสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่โตและทรงความสำคัญทางยุทธศาสตร์จนสามารถที่จะเจรจาต่อรองได้ด้วยจุดยืนอันเข้มแข็ง แดนภารตะก็จะยังคงต้องตกอยู่ในสมุดบัญชีอันไร้ความปรานีของเศรษฐศาสตร์มหภาคแบบเปิดกว้าง โดยอยู่ทางข้างเป็นฝ่ายต้องยอมรับเงื่อนไข ไม่ใช่เป็นฝ่ายผู้เสนอเงื่อนไข

ภีม ภูรเตล สอนวิชาเศรษฐศาสตร์พัฒนาการ และ เศรษฐศาสตร์การเมืองระดับโลก อยู่ที่โครงการปริญญาโทของ มหาวิทยาลัยเปิดเนปาล (Nepal Open University) เขาเคยเป็นผู้อำนวยการบริหารของศูนย์เอเชียใต้เนปาล (Nepal South Asia Center) ที่เป็นองค์การคลังสมองด้านการพัฒนาเอเชียใต้ ซึ่งตั้งฐานอยู่ที่กรุงกาฐมาณฑุ (ช่วงปี 2009-14)

เชิงอรรถ

[1] https://www.bbc.com/news/articles/cg7jjkvzmkxo

[2] https://ustr.gov/countries-regions/china-mongolia-taiwan/peoples-republic-china

[3] https://ustr.gov/countries-regions/china-mongolia-taiwan/peoples-republic-china

[4] https://www.reuters.com/markets/us/investors-flee-equities-trump-driven-uncertainty-sparks-economic-worry-2025-03-10/

[5] https://www.reuters.com/markets/currencies/chinese-authorities-are-considering-weaker-yuan-trump-trade-risks-loom-sources-2024-12-11/

[6]https://datacommons.org/place/country/IND?utm_medium=explore&mprop=amount&popt=EconomicActivity&cpv=activitySource,GrossDomesticProduction&hl=en

[7] https://indianexpress.com/article/explained/explained-economics/rupee-fall-dollar-record-low-reason-impact-9815011/

[8] https://www.reuters.com/world/india/indias-cooling-inflation-prompts-rate-cut-calls-raises-concerns-over-weakening-2025-07-15/

[9] https://www.adb.org/sites/default/files/publication/1044336/asian-development-outlook-april-2025.pdf

[10] https://www.reuters.com/world/china/indias-top-think-tank-recommends-easing-investment-rules-chinese-firms-sources-2025-07-18/#:~:text=The%20proposal%2C%20reported%20for%20the,affects%20Chinese%20companies%20the%20most.

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Manager Online

ถอดรหัส 'Sustainable Growth' เมื่ออนาคตของธุรกิจอยู่บนเส้นทางของความยั่งยืน

14 นาทีที่แล้ว

ตร.พระอินทร์ราชารวบ “สาวอ้วนสุดแสบ” ตระเวนลักเงินร้านชำคุณยาย ก่อเหตุนับ 10 ครั้งตั้งแต่ พ.ค. สุดท้ายถูกจับคาร้าน

16 นาทีที่แล้ว

OSIM เปิดตัว “uDivine V3” เก้าอี้นวด AI สุดล้ำ

28 นาทีที่แล้ว

คริปโตยกระดับรสนิยม! เจ็ตส่วนตัว–เรือสำราญหันรับบิทคอยน์ นักธุรกิจรุ่นใหม่ทุ่มดิจิทัลวัดรสนิยม

31 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

กยศ. คำนวณหนี้ใหม่ 4.3 แสนบัญชี ผ่านแอป กยศ. Connect 31

สำนักข่าวไทย Online

ซีพี แอ็กซ์ตร้า หนุนปูทะเล ช่วยเกษตรกร คนตัวเล็ก สร้างรายได้สู่ชุมชน

TODAY

ฝนตก ถนนลื่น กระบะเสียหลัก ชนท้ายสองแถว นักเรียนเจ็บระนาว

คมชัดลึกออนไลน์

ก.ล.ต. สั่ง CIG ชี้แจงการเพิ่มทุนเพื่อลงทุนเหมืองทองคำที่แคนาดา

THE STANDARD

ธอส.-กองทัพภาค 1 ส่งมอบบ้านให้ผู้ยากไร้-ด้อยโอกาส

สำนักข่าวไทย Online

“ปชน.” ยังไม่เคาะโหวตนายกฯ ประชุมต่อพรุ่งนี้

สำนักข่าวไทย Online

พรรคประชาชน ยังไม่ได้ข้อสรุป โหวตแดง-น้ำเงิน นั่งนายกฯ

ข่าวช่องวัน 31

ภท.แผ่เมตตา "เดชอิศม์" ยกฮั้วสว.-เขากระโดง โจมตี จี้ “สรวงศ์” อย่าหาทำ ก้าวล่วงพระราชอำนาจยุบสภา

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

“ตอลีบาน” ประกาศตัวเลขเสียชีวิตพุ่งกว่า 800 บาดเจ็บอีก 2800 หลังแผ่นดินไหวแรง 6.0 พิโรธ กู้ภัยส่งผู้บาดเจ็บส่งฮ.รักษาที่รพ.

Manager Online

ระทึก! แผ่นดินไหว 6.0 เขย่าอัฟกานิสถาน คาดมีผู้เสียชีวิต ‘หลายร้อย’ คน

Manager Online

'คิมจองอึน' เยี่ยมชมสายการผลิตขีปนาวุธใหม่ ก่อนเดินทางเยือนจีนพบ 'สีจิ้นผิง-ปูติน'

Manager Online
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...