‘รสนา’ การันตี ‘หมอสุภัทร’ ไม่มีพฤติกรรมส่อทุจริต หวัง ‘รัฐมนตรีสมศักดิ์’ ไม่บ้าจี้ตามคำสั่งของฝ่ายบริหาร สธ.
(18 ส.ค. 68) นางสาวรสนา โตสิตระกูล โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า สังคมอาจลืมไปแล้วว่าสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในช่วงปี 2564 รุนแรงขนาดไหน มีคนตายจากโควิดมากเท่าไหร่ รพ. และรพ.สนามเต็มแน่น รพ.เอกชนปฏิเสธรับคนป่วยโควิด เกิดความตื่นตระหนกทั้งสังคม เพราะยังไม่มีทั้งวัคซีน และยารักษาโควิด-19
ในช่วงปี2564 ดิฉันในนามมูลนิธิสุขภาพไทย ได้ทำโครงการแจกเมล็ดพันธุ์ฟ้าทะลายโจรและยาแคปซูลฟ้าทะลายโจรให้กับผู้ติดเชื้อโควิด-19 เริ่มจากในกรุงเทพที่เป็นสถานที่แพร่ระบาดโควิดจากสนามมวย และสถานบันเทิงย่านทองหล่อ และชุมชนคลองเตยที่มีคนทำงาน ทั่วกทม.โดยได้รับการสนับสนุนยาฟ้าทะลายโจรจากมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และ จากบริษัทยาพรีราน่า และบริษัทอื่นๆ รวมทั้งเงินบริจาคเพื่อเป็นค่าส่งยาให้ประชาชนที่ติดเชื้อโควิด ต้องกักตัวที่บ้านและขอยาเข้ามา และส่งยาให้กับอสส (อสม.ในกทม )69 เขต เพื่อแจกให้กับประชาชนในแต่ละเขต ในช่วงนั้นยังไม่มีทั้งวัคซีน และยารักษาโควิด
ดิฉันยังจำความโกลาหลของผู้คนที่แตกตื่นจากการระบาดของเชื้อโควิดได้ดี การระบาดกระจายไปทั่วหัวเมือง มีข่าวคนติดเชื้อนอนตายข้างถนนการเดินทางจากคนที่ติดเชื้อ แต่ยังไม่แสดงอาการ เมื่อมีการล็อคดาวน์กรุงเทพ คนงานไม่มีงาน ไม่มีเงินจึงหนีกลับบ้านในต่างจังหวัดและพาเชื้อไปแพร่กระจายในหมู่บ้านตนเอง
การตรวจเชื้อของหน่วยงานรัฐต้องใช้ RT PCR ซึ่งต้องรอคิวเป็นอาทิตย์กว่าจะได้ตรวจเชื้อ คนที่อาการหนัก หลายคนตายไปก่อนได้รับการตรวจเชื้อ การกักตัวเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดตามรพ.และรพ.สนามมากมาย ส่วนการรักษาในรพ.หรือรพ.สนาม ก็รักษาตามอาการ การกักตัวเพื่อลดการแพร่ระบาดเป็นหลัก ใครติดเชื้อน้อย ร่างกายแข็งแรงก็รอด ส่วนคนติดเชื้อมากร่างกายอ่อนแอก็ตาย คนที่ตายจากเชื้อโควิด ถูกนำไปเผาโดยญาติไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันเลย
ช่วงเดือนเมษายน2564 ดิฉันเคยเสนอผ่านเฟซบุ๊ก และให้สัมภาษณ์สื่อไปถึงหน่วยงานรัฐ ให้ใช้ ATK ตรวจคนในชุมชนคลองเตยอย่างรวดเร็วเพื่อแยกคนติดเชื้อออกจากครอบครัว และใช้วัด โรงเรียน หรือหน่วยราชการเป็นที่กักตัว เพราะรพ.สนามเต็มหมด และเสนอให้รัฐบาลต้องให้เงินทดแทนแรงงานคนเหล่านี้เพื่อดูแลครอบครัว ที่ต้องให้หยุดทำงานเพื่อลดการแพร่เชื้อ และเสนอให้ใช้ฟ้าทะลายโจรให้คนติดเชื้อ เพราะฟ้าทะลายโจรมีสรรพคุณรักษาหวัดที่เป็นเชื้อไวรัสอยู่แล้ว ตอนนั้นยังไม่มียาฟาวิพิราเวียร์
ในขณะนั้นหน่วยงานรัฐทั้งรัฐส่วนกลาง และท้องถิ่นยังไม่ได้ทำงานเชิงรุกมากพอ การระบาดจาก สนามมวย สถานบันเทิงในซอยทองหล่อ จึงระบาดแพร่กระจายเป็นวงกว้างไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว
เมื่อทีมงานของแพทย์ชนบท มีหมอสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ และหมอชนบทอีกหลายคนจากหลายรพ.ในต่างจังหวัด ตั้งทีมอาสาสมัครเข้ามาตรวจโควิดให้คนกรุงเทพ โดยใช้ ATK มาตรวจและแยกคนติดเชื้อออกจากคนที่ยังไม่ติด จ่ายยาให้คนติดเชื้อ ซึ่งมีทั้งยารักษาตามอาการ และยาฟาวิพิราเวียร์ สำหรับคนไข้อาการหนัก ซึ่งยาฟาวิพิราเวียร์ยังมีอยู่น้อยและมีราคาแพงมาก (ที่เบิกจากสปสช. ราคาต่อการรักษา 4,200 บาท/1คน ส่วนฟ้าทะลายโจรต่อการรักษา 1 คนแค่ 180 บาท ) ฟ้าทะลายโจรที่พวกเราส่งไปสนับสนุนชาวบ้านที่ติดโควิด ได้ผลดีมาก จึงได้ส่งให้ทีมแพทย์ชนบทที่มาตรวจเชื้อที่ กทม.ด้วย
ถ้าเรามองจากสถานการณ์ในช่วงโควิระบาด การมาช่วยตรวจเชื้อโควิดของหมอชนบทอย่างทีมหมอสุภัทร เป็นงานที่สำคัญ ได้ช่วยเหลือผู้ป่วยที่อยู่ในสภาพตื่นตระหนก ไม่รู้จะพึ่งพาใคร จะดูแลรักษาตัวเอง และคนในครอบครัวอย่างไร ไม่มีคนมาแนะนำ นอกจากทีมตรวจเชื้อของหมอสุภัทรแล้วยังมีอาสาสมัครกลุ่มอื่นที่รับช่วงช่วยกระจายอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่นให้ยืมเครื่องช่วยหายใจในกรณีเคสที่มีอาการหนัก กระจายยาฟ้าทะลายโจร และอาหาร ให้กับผู้ป่วยที่กักตัวที่บ้าน
ดิฉันเห็นว่าเป็นการร่วมมือกันของอาสาสมัครทั้งสังคมเพื่อช่วยกันลดการแพร่ระบาดให้เร็วที่สุด และช่วยเหลือกันในยามวิกฤตที่รัฐบาลไม่สามารถครอบคลุมการช่วยเหลือคนได้ทุกพื้นที่ทั้งหมด
มีคนวิจารณ์เรื่องที่ทีมแพทย์ชนบทมาตรวจเชื้อโควิดใน กทม. เพื่อได้รับค่าตอบแทนเป็นรายหัวจาก สปสช. อย่างเป็นกอบเป็นกำนั้น น่าจะเป็นการมองด้วยอคติเป็นที่ตั้งมากกว่า ถ้าหน่วยงานของท้องถิ่นในกทม.เข้ามาดำเนินการตรวจเชิงรุกแบบเดียวกัน ก็สามารถรับค่าใช้จ่ายตามรายหัวจาก สปสช.ได้อยู่แล้วเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ทำ ใช่หรือไม่?!
ถ้าจะกล่าวหาเรื่อง ATK ที่หมอสุภัทร และแพทย์ชนบทจัดหามาใช้ว่าแพง ก็น่าพิจารณาว่าการจัดซื้อ ATK ยี่ห้อเลอพู่จากจีน ขององค์การเภสัชกรรม (อภ.)ที่ซื้อจำนวนมาก แต่ก็พบว่ามีราคาแพงกว่าราคาตลาดที่ซื้อในจำนวนที่น้อยกว่า ใช่หรือไม่ ?!
นอกจากนี้ยังมีข้อน่าสงสัยว่า ผู้ชนะประมูลการจัดซื้อ ATK เลอพู่ ให้อภ.เป็นบริษัทหนึ่ง แต่ อภ.ทำสัญญาจัดซื้อกับอีกบริษัทหนึ่ง เป็นเรื่องถูกต้องของระเบียบการจัดซื้อหรือไม่นั้น แต่ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขก็ไม่ได้มีการตรวจสอบตามที่มีการร้องเรียน ใช่หรือไม่ ?!
ดิฉันเห็นว่าการจะตรวจสอบเอาผิดใคร สามารถเป็นการตั้งธงได้ ดูจากตัวอย่างคดีการทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ในกระทรวงสาธารณสุขเมื่อปี 2542 ที่ดิฉันมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ ในการทุจริตของนักการเมืองจะทำไปโดยฝ่ายบริหารระดับสูงไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ช่วยเหลือนั้น ไม่ว่าเรื่องการแปลงงบประมาณจากหมวดเงินอุดหนุน เป็นเงินหมวดใช้สอยวัสดุ ที่เปลี่ยนการใช้จ่ายรายหัว เป็นจ่ายตามอำนาจของผู้บริหาร การยกเลิกราคากลางยา เพื่อไม่ให้มีการเพดานราคา ล้วนต้องทำโดยข้าราชการในระดับบริหาร แต่ข้าราชการระดับสูงที่ให้ความเมืองที่ในครั้งนั้น ล้วนแต่ได้รับการช่วยเหลือให้รอดพ้นจากการถูกไล่ออกจากราชการ มีแต่นักการเมืองที่ถูกลงโทษจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยึดทรัพย์จากการร่ำรวยผิดปกติ ที่มีการรับสินบนจากบริษัทยา และจัดซื้อยาแลเวชภัณฑ์ราคาแพงเพื่อให้บรรดาหมอในโรงพยาบาลของรัฐซื้อยาและเวชภัณฑ์ที่แพงเกินสมควร ศาลฯจึงตัดสินให้จำคุกเป็นเวลา 15ปี แต่บรรดาผู้บริหารระดับสูงในครั้งนั้นที่ช่วยนักการเมืองแปลงงบประมาณ จากงบอุดหนุนในหมวด 800 ที่ต้องจ่ายตามรายหัว เป็นงบหมวดใช้สอยวัสดุ หมวด300 นั้นเป็นการเปิดช่องให้สามารถการซื้อยาและเวชภัณฑ์แพง ถ้าไม่มีชมรมแพทย์ชนบท และชมรมเภสัชชนบทออกมาเปิดโปงการทุจริตในครั้งนั้น และไม่มีเอ็นจีโอช่วยกันตรวจสอบ ไม่มีสื่อช่วยกันตรวจสอบก็ไม่อาจทำให้นักการเมืองถูกยึดทรัพย์และติดคุกอย่างแน่นอน แต่ฝ่ายบริหารระดับสูงไม่ได้ถูกตรวจสอบ เพราะฝ่ายบริหารชุดต่อมาก็ช่วยกันใช่หรือไม่ ?! ผู้บริหารระดับสูงจึงล้วนรอดจากการถูกลงโทษ เมื่อเกษียณแล้วก็ยังได้รับบำเหน็จบำนาญ สวัสดิการทั้งหลายกันต่อไป ใช่หรือไม่ ?!
ส่วนหมอสุภัทร ประธานแพทย์ชนบท ที่ทำงานช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ ดิฉันเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีการทุจริต เป็นคนที่มีชีวิตที่สมถะ ไม่เคยเปิดคลินิกส่วนตัว แต่กำลังจะถูกผู้บริหารระดับสูง ลงโทษให้ออกจากราชการ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง หมอสุภัทรจะเหมือนถูกลงโทษประหารชีวิตกันเลยทีเดียว จากความผิดที่มีการอ้างเรื่องการซื้อ ATK มาช่วยชีวิตคนติดเชื้อโควิด ใช่หรือไม่?!
ถ้าหมอสุภัทรถูกให้ออกจากราชการ จะไม่ได้รับบำเหน็จ บำนาญ ความดีที่เคยทำจะถูกประหารไปพร้อมกับคำสั่งให้ออกจากราชการ คำสั่งเช่นนี้ เป็นการตั้งธงโดยฝ่ายบริหาร ใช่หรือไม่ การลงโทษหมอสุภัทร เป็นสิ่งที่มีความเป็นธรรมแล้วหรือ ต่อไปจะมีใครทำดีให้สังคม ใครแข็งขืนผู้บริหาร ก็จะถูกเชือดไก่ให้ลิงดูแบบหมอสุภัทร ใช่หรือไม่ ?!?
เราต้องการหมอที่เป็นโรคกระดูกสันหลังเสื่อม ที่ต้องค้อมหลังให้ผู้บริหาร โดยไม่กล้ายืนหลังตรงอย่างนั้นหรือ ?!?
หวังว่ารัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทิน คงไม่บ้าจี้ตามคำสั่งของฝ่ายบริหารสธ. ใช่หรือไม่ !?