ส่องทิศทางการค้าไทย-อิสราเอล ไทย-อิหร่าน รุ่งหรือร่วง หลังสงครามยุติ
ในปี 2567 อิสราเอลเป็นคู่ค้าลำดับที่ 39 ของไทยในเวทีการค้าโลก และเป็นคู่ค้าลำดับที่ 6 ของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่วนอิหร่านไม่ได้ติดอันดับคู่ค้าหลักของไทยในเวทีโลก โดยจากมูลค่าการค้าที่ต่ำมากทำให้ไม่ติดอยู่ใน 50 อันดับแรก
สำหรับการค้าไทย-อิสราเอล ช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 มีมูลค่ารวม 19,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยไทยส่งออก 10,241 ล้านบาท ลดลง 13% นำเข้า 9,160 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% ไทยเกินดุลการค้าอิสราเอล 1,080 ล้านบาท
โดยสินค้าส่งออก 5 อันดับแรกของไทยไปอิสราเอล ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป, รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, ข้าว และผลิตภัณฑ์ยาง
ส่วนสินค้านำเข้าของไทยจากอิสราเอล 5 อันดับแรกได้แก่ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ, เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ, ปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์, แผงวงจรไฟฟ้า และยุทธปัจจัย
ด้านการค้าไทย-อิหร่าน :
ช่วง 5 เดือนแรกปี 2568 มีมูลค่ารวม 2,052 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยไทยส่งออก 1,943 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% นำเข้า 109 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% ไทยเกินดุลการค้าอิหร่าน 1,834 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.4%
สินค้าส่งออก 5 อันดับแรกของไทยไปอิหร่าน ได้แก่ ผลไม้กระป๋องและแปรรูป, ยางพารา, ผลิตภัณฑ์ยาง, รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ และเครื่องมือแพทย์หรืออุปกรณ์
ส่วนสินค้านำเข้า 5 อันดับแรกของไทยจากอิหร่าน ได้แก่ ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้, สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง แปรรูปและกึ่งสำเร็จรูป, นมและ ผลิตภัณฑ์นม, ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม และเชื้อเพลิงอื่น ๆ
สำหรับทิศทางการค้าไทย-อิสราเอล และการค้าไทย-อิหร่านในเดือนที่เหลือของปีนี้ หลังทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงการหยุดยิงโดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นตัวกลางจะเป็นอย่างไรนั้นยังขึ้นอยู่กับหลายตัวแปร
ไทย–อิสราเอล :
ทั้งสองประเทศอยู่ระหว่างเตรียมจัดตั้ง คณะกรรมการเจรจา FTA หลังหารือที่ World Economic Forum 2025 เพื่อขยายขอบเขตสินค้าส่งออกไทย เช่น อาหารกระป๋อง ข้าว อะไหล่ยานยนต์ และเข้าสู่องค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีของอิสราเอล ซึ่งภายใต้เหตุการณ์หยุดยิง สถานการณ์โลจิสติกส์และเสถียรภาพในภูมิภาคดีขึ้น ส่งผลให้การเจรจาและการดำเนินธุรกิจระหว่างกันจะมีความต่อเนื่องได้
ทั้งนี้ประเมินว่า สินค้าเกษตรของไทย เช่นข้าว และอาหารพร้อมรับประทาน และสินค้าไฮเทค เช่น การเกษตรอัจฉริยะจะ เป็นโอกาสการเติบโตสำคัญของสินค้าไทยในอิสราเอล
ไทย–อิหร่าน
จากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกลางลดน้อยลง ท่าเรือและเส้นทางขนส่ง (รวมถึงช่องแคบฮอร์มุซ) มีเสถียรภาพดียิ่งขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงต่อการนำเข้า น้ำมันและ LPG ที่ไทยยังพึ่งพาจากภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตาม จากระดับการค้าไทย-อิหร่านเดิมที่ต่ำมาก(จากอิหร่านถูกสหรัฐและชาติตะวันตกแซงชั่น) จึงยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญต่อการส่งออกหรือการลงทุนของไทยในระยะสั้นในอิหร่าน
ทั้งนี้โดยสรุป นโยบายหยุดยิงของอิสราเอลและอิหร่านช่วยลดความตึงเครียดของโลกได้ แต่การค้าสองทางยังไม่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการค้าของทั้งสองประเทศกับไทยยังค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับตลาดอื่น ๆ ขณะที่ยังไม่มีข้อตกลงเชิงลึกที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดีในส่วนของการค้าไทย–อิสราเอล ในช่วงนับจากนี้ การค้าอาจจะขยายตัวได้ดีขึ้นโดยมาจาก 4 ปัจจัยคือ
1.เสถียรภาพเส้นทางโลจิสติกส์หลังหยุดยิง ค่าขนส่งลดลงจากความเสี่ยงภัยทางทะเลลดลง ส่งผลดีต่อการนำเข้าสินค้าไฮเทคจากอิสราเอลและการส่งสินค้าไทยไปอิสราเอล
2.โอกาสจากการเจรจา FTA โดยไทย–อิสราเอลมีแนวโน้มเดินหน้าเจรจา FTA ซึ่งจะช่วยลดภาษีและเปิดตลาดสินค้าเกษตร และสินค้าเทคโนโลยีระหว่างกันมากขึ้น
3.แรงกดดันจากต้นทุนพลังงาน แม้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มทรงตัว แต่ยังได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์ในตะวันออกกลางหากความตึงเครียดยังผันผวน
4.ความผันผวนค่าเงินบาทและนโยบายการค้าโลก ตลาดโลกยังมีความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ-จีน และสงครามการค้าอาจกระทบต้นทุนส่งออกไทย
ส่วนการค้าไทย-อิหร่าน มีตัวแปรที่สำคัญ 4 ประการคือ
1.เสถียรภาพช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งพลังงานทั้งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ 1 ใน 5 ของโลก การที่อิหร่านไม่ปิดช่องแคบฮอร์มุซ และมีข้อตกลงหยุดยิงช่วยลดความเสี่ยง ทำให้กิจกรรมค้าพลังงานโลกไม่สะดุด และไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนด้านพลังงานของไทย และของโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก
2.ต้นทุนประกันภัย-ค่าขนส่งลดลง ค่าเบี้ยประกันภัยสงคราม และค่าขนส่งสินค้า ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
3.ความไม่แน่นอนในอิหร่าน ปัญหาโครงสร้างพลังงานไฟฟ้า การนัดหยุดงานขนส่ง และวิกฤตพลังงานยังคงเป็นความเสี่ยงต่อการส่งออกสินค้าอิหร่านมายังไทย
4.การค้าไทย–อิหร่านยังน้อย โดยการค้าสองฝ่ายในปี 2567 มีมูลค่ารวมเพียง 7,270 ล้านบาท (ไทยส่งออก 4,705 ล้านบาท นำเข้า 2,565 ล้านบาท ทำให้แม้เงื่อนไขดีขึ้นก็ยังไม่ส่งผลชัดเจน