“จุลพันธ์” ย้ำรอผลเจรจาภาษีทรัมป์ ชี้ยังไม่จบง่ายๆ มั่นใจทิศทางดี
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในเวทีสัมมนา “เชื่อมั่นประเทศไทย : โจทย์ใหญ่รัฐบาล ?” ที่จัดโดยสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ว่า การเจรจาการค้าภาษีกับสหรัฐ นั้นคงต้องรอผลจากการหารือของนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้อาจไม่จบง่ายๆ เชื่อว่าอาจจะยังไม่ได้ข้อสรุป 100% และอาจจะต้องมีการเปิดเวทีเพื่อให้มีการพูดคุยกันต่อ และภายหลังการพบกับผู้แทนการค้าสหรัฐแล้วผลการหารือจะเป็นไปในทิศทางที่ดี แต่หากการเจรจายังไม่จบหลังเส้นตาย 9 ก.ค.68 ก็เชื่อว่าจะได้รับการขยายเวลาออกไปแน่ ส่วนอัตราภาษีสรุปสุดท้ายจะออกมาอยู่ที่อัตราเท่าใดนั้น ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจา แต่เชื่อมั่นว่าจะมีผลลัพธ์ที่ดี
รัฐบาลไม่มองในกรณีเลวร้ายว่าสหรัฐ จะกลับไปเก็บภาษีนำเข้าจากไทยที่อัตรา 36% อยู่แล้ว โดยในฐานะผู้ปฏิบัติไทยได้มีการหารือ และพูดคุยกับฝ่ายสหรัฐ ในหลายระดับมาโดยตลอด และมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องที่ผ่านมา ไทยรู้โจทย์ชัดเจนว่าสหรัฐ ต้องการอะไรบ้าง ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร รวมถึงภาคเอกชน ต่างหารือกันอย่างเข้มข้น และรู้ว่าไทยจะต้องปรับตัวอย่างไร เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
สำหรับผลการเจรจาสหรัฐ และเวียดนาม ยอมรับว่าน่าห่วงกับเวียดนาม เนื่องจากอัตราที่เวียดนามได้ คือ เวียดนามจะถูกสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 20% ขณะที่สินค้าสหรัฐที่นำเข้าเวียดนามจะได้อัตราภาษี 0% อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า เทียบกับไทยไม่ได้ เพราะความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศมีความแตกต่าง
“ไทยมีสัมพันธ์กับสหรัฐมายาวนาน แม้เรื่องนี้จะใช้ชั่งน้ำหนักในการเจรจามากไม่ได้ แต่ก็เป็นความหวังหนึ่ง และเราก็ยังเชื่อมั่นว่า อำนาจในการเจรจาต่อรองของเราไม่ได้น้อยไปกว่าเวียดนาม และเชื่อว่าโจทย์ทั้งหมดของสหรัฐ นั้น ทีมไทยแลนด์รู้ดี และเตรียมตัวมาอย่างดี เพื่อให้การพูดคุยมีผลสำเร็จ “นายจุลพันธ์ กล่าว
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า สำหรับการเสนอร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ยอมรับว่าขณะนี้รัฐบาล โดยวิปรัฐบาล และผู้แทนคณะรัฐมนตรีว่า กำลังพิจารณาการเลื่อน หรือถอนร่างกฎหมายฉบับนี้ ออกมาจากการพิจารณาในสภา ซึ่งมีวาระการพิจารณาวันที่ 9 ก.ค.68 โดยคาดจะประชุมวิปรัฐบาล นำโดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และสรุปผลได้ภายในวันที่ 7 ก.ค.68 นี้ ว่าจะมีมติถอน หรือเลื่อนออกไปอย่างไร
ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องพิจารณาเลื่อน หรือถอน พ.ร.บ.ดังกล่าว ไม่ได้มาจากว่าห่วงเรื่องเสียงสนับสนุนในสภาจะไม่พอ แต่มาจาก 2 เหตุผลหลัก คือ
1.ขณะนี้รัฐบาลเพิ่งมีการปรับ ครม.ใหม่ และมีรัฐมนตรีใหม่หลายคน 14-15 ตำแหน่งที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้ ผ่านความเห็นชอบจาก ครม.ชุดเดิม ดังนั้น เมื่อมีการปรับ รัฐมนตรีใหม่เข้ามา จึงควรให้สิทธิทุกๆ ท่านร่วมพิจารณา และตัดสินใจกฎหมายที่มีความละเอียดอ่อนให้ตกผลึกเสียก่อน
2.เหตุผลมาจากการที่ขณะนี้เกิดปัญหาหลายมิติขึ้น ทั้งยาเสพติด ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ก็ยังเป็นปัญหาค้างคา รวมถึงเกิดการชุมนุม มีผู้คัดค้านบนท้องถนน จึงต้องลดโทนลงความขัดแย้งของบ้านเมือง จึงมีข้อเสนอให้เลื่อนการพิจารณา หรือถอนร่างกฎหมายกลับมาที่ ครม.ก่อน ถ้าเห็นว่า มีความเหมาะสมแล้ว ก็ค่อยเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอีกครั้ง
ขั้นตอนการถอน หรือเลื่อนร่างกฎหมายนั้น หากมีการเลื่อนวาระพิจารณา จะต้องให้มีการพิจารณา และโหวตกันในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอมติให้เลื่อนไปก่อน
นายจุลพันธ์ กล่าวถึงกรณีที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งศาลให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ลงเพื่อรอคำวินิจฉัยกรณีคลิปเสียงหารือกับฮุน เซนหลุดนั้น โดยล่าสุด คณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่ ได้รับการโปรดเกล้าฯ และถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นั่งรักษาการแทนนายกรัฐมนตรีนั้น ยืนยันว่ามีอำนาจเต็ม และขอให้เชื่อมั่นว่า รัฐบาลยังเดินหน้า และขับเคลื่อนประเทศได้ ไม่ได้เดินมาถึงจุดเสี่ยงหรือทางตันอย่างเป็นกระแสข่าว
สำหรับกลไกของศาล หากในอนาคต คำวินิจฉัยออกมาเป็นบวก จะทำให้นางสาวแพทองธาร กลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้ปกติ และขับเคลื่อนประเทศต่อได้อีก 2 ปี ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ แต่หากเป็นในทางลบ และหลุดจากตำแหน่งด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะต้องไปที่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อหาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีใหม่ โดยขณะนี้ พรรคเพื่อไทย ยังมีอีก 1 แคนดิเดต คือ นายชัยเกษม นิติสิริ
สำหรับเป้าหมายของรัฐบาลในการตั้งเป้า GDP ของประเทศให้ถึง 5% ในปีนี้ว่า การตั้งเป้าหมายของรัฐบาล จะต้องมองให้ไกล แม้จะเดินไปไม่ถึง 5% แต่ได้ถึง 3% ก็ถือว่า มีความสุขแล้ว แต่ก็ต้องตั้งเป้าไว้เพื่อความท้าทาย แต่ก็ยังมีปัจจัยจากเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะมาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้ ก็ตั้งเป้าว่า GDP ปีนี้ จะเกิน 2% และรัฐบาล ก็จะพยายามออกนโยบายมากระตุ้นเศรษฐกิจ และเดินหน้าเศรษฐกิจ แม้จะมีปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะนโยบายสงครามการค้าของสหรัฐอเมริกาที่กระทบทั้งโลก
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์