"ภูมิธรรม" ปัดตอบรายละเอียด ครม.รับทราบจัดซื้อ "กริพเพน–เรือดำน้ำ" 2 โครงการเสริมศักยภาพกองทัพ
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีการอนุมัติจัดซื้อเรือดำน้ำและเครื่องบินขับไล่กริพเพนว่า ครม.รับทราบเรื่องตามที่กองทัพเสนอ โดยจะดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมปฏิเสธที่จะลงในรายละเอียด โดยระบุว่า “เรื่องนี้ไม่คุย”
นายภูมิธรรมย้ำชัดว่า ประเด็นด้านยุทโธปกรณ์และการเสริมศักยภาพกองทัพถือเป็น “ความลับทางราชการ” ไม่สามารถเปิดเผยหรือแสดงความเห็นในเชิงลึกได้
ขณะเดียวกัน เพจอย่างเป็นทางการของกองทัพอากาศ ได้เผยแพร่ข้อความว่า คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตี Saab JAS 39 Gripen E/F ระยะที่ 1 จำนวน 4 ลำ เพื่อรักษาขีดความสามารถทางอากาศของประเทศ โดยกำหนดวงเงินโครงการ 19,500 ล้านบาท
พล.อ.อ.พันธุ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ เปิดเผยว่า เตรียมเดินทางไปประเทศสวีเดนระหว่างวันที่ 23–27 สิงหาคมนี้ เพื่อร่วมลงนามในสัญญาซื้อเครื่องบินกริพเพนกับบริษัท SAAB โดยมีรัฐมนตรีกลาโหมของสวีเดนร่วมเป็นสักขีพยาน
ในส่วนของโครงการเรือดำน้ำ Yuan Class รุ่น S26T ที่กองทัพเรือลงนามกับรัฐบาลจีนแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) ตั้งแต่ปี 2560 ครม.ได้เห็นชอบให้แก้ไขสัญญาเปลี่ยนเครื่องยนต์จากรุ่น MTU 396 ของเยอรมนีเป็น CHD620 จากจีน พร้อมขยายเวลาการต่อเรืออีก 1,217 วัน จากเดิมที่โครงการต้องหยุดชะงักตั้งแต่ปี 2564 เนื่องจากไม่สามารถจัดหาเครื่องยนต์เดิมได้
รายงานระบุว่า ขณะนี้โครงการสร้างเรือเสร็จแล้ว 64% จ่ายเงินแล้ว 10 งวดจากทั้งหมด 18 งวด รวมวงเงิน 7,700 ล้านบาท เหลืออีก 40% คิดเป็นวงเงินประมาณ 5,500 ล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลยืนยันว่า การดำเนินโครงการทั้งหมดอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย แนวทางระหว่างประเทศ และเพื่อประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติ
กองทัพเรือขอบคุณ ครม.เห็นชอบเปลี่ยนเครื่องยนต์เรือดำน้ำ
พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ รองโฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า กองทัพเรือขอขอบคุณคณะรัฐมนตรี ที่ได้มีมติเห็นชอบ ให้แก้ไขข้อตกลงฯ เปลี่ยนเครื่องยนต์ขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และขยายระยะเวลาการส่งมอบเรือดำน้ำ ซึ่งทำให้กองทัพเรือสามารถเดินหน้าโครงการจัดหาเรือดำน้ำได้ และจะทำให้กองทัพเรือมีขีดความสามารถของกำลังทางเรือที่ครบสมบูรณ์ทั้งมิติผิวน้ำ มิติเหนือน้ำ และมิติใต้น้ำ รวมทั้งจะเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านความมั่นคงและรักษาผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศเพิ่มมากขึ้นด้วย
ทั้งนี้การดำเนินการแก้ไขข้อตกลงฯ เป็นไปด้วยความรอบคอบ โปร่งใส ภายใต้กรอบกฎหมาย โดยผ่านการพิจารณาจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอน จนสามารถเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
กองทัพเรือขอยืนยันว่า นโยบายควบคุมการส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ (Embargo Policy) ของสหภาพยุโรป ที่ได้ประกาศนั้นเกิดขึ้น ในปี พ.ศ.2562 ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากการลงนามในข้อตกลงจ้างสร้างเรือดำน้ำ ซึ่งมีผลเมื่อปี 2560 ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องแก้ไขข้อตกลงฯ
และการแก้ไขข้อตกลงฯ ครั้งนี้ ยังได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมต่าง ๆ ได้แก่ การขยายระยะเวลาการรับประกันและอะไหล่ การฝึกอบรมกำลังพล และสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมถึงการสนับสนุนเครื่องฝึกจำลองควบคุมเรือดำน้ำ (Simulator) เพื่อเป็นการเสริมสร้างประสิทธิภาพและความพร้อมของเรือดำน้ำอย่างยั่งยืน รวมทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงเรือดำน้ำในอนาคต
สำหรับเครื่องยนต์ขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่จะใช้กับเรือดำน้ำ ได้รับการตรวจทดสอบ ทดลอง คุณภาพแล้ว มีขีดสมรรถนะและความปลอดภัยเทียบเท่าหรือดีกว่ารุ่นเดิม และได้รับการรับรองจากสถาบันจัดชั้นเรือระดับโลก คือ Lloyd’s Register สหราชอาณาจักร รวมทั้งได้มีการใช้งานจริงในเรือดำน้ำของประเทศคู่สัญญารายอื่น ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่กองทัพเรือจัดหา
ขอให้พี่น้องประชาชนจงเชื่อมั่นว่า กองทัพเรือพร้อมที่จะใช้งานอาวุธ ยุทโธปกรณ์ ให้คุ้มค่ามากที่สุด
เพื่อปกป้องเอกราช อธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล รวมทั้งช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในทุกสถานการณ์