ย้อนเรื่องราวในวันวานของกรุงโรม ผ่านแฟชั่นโชว์จาก ‘Dolce & Gabbana’ ปี 2025
หนึ่งในแฟชั่นโชว์ที่สร้างความตราตรึงผู้ชมมากที่สุดในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นโชว์คอลเล็กชั่นชั้นสูง ของ Dolce & Gabbana อย่าง ‘Alta Moda’ และ ‘Alta Sartoria’ ซึ่งได้เนรมิต Foro Romano และ Castel Sant'Angelo สถานที่สำคัญของกรุงโรม ให้กลายเป็นรันเวย์ พร้อมนำเสนอความอลังการและความตระการตาของเสื้อผ้าทุกชิ้นในคอลเล็กชั่น
แน่นอนว่า ในเรื่องของความสวยงามและความเป็นแฟชั่นชั้นสูง Dolce & Gabbana ก็ไม่เคยทำให้เราต้องผิดหวังอยู่แล้ว หากแต่ปีนี้แบรนด์ได้ความยิ่งใหญ่ของโชว์เพิ่มมากขึ้นอีกระดับ ด้วยการออกแบบโชว์ที่ใครก็ไม่สามารถลอกเลียนแบบกันได้ อย่างการนำพระคาร์ดินัลในศาสนจักรคาทอลิกมาเป็นส่วนหนึ่งของโชว์ใน Alta Sartoria เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ทั้ง 2 โชว์ไม่ได้นำเสนอเพียงแค่ความงดงามในมิติของแฟชั่นและความตะลึงในแง่ของโชว์เท่านั้น ทว่ายังแฝงไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ ศาสนา รวมถึงอัตลักษณ์ความเป็นโรม ซึ่งทั้งหมดได้ถูกร้อยเรียงและถักทอออกมาผ่านเสื้อผ้าและโชว์ในครั้งนี้ด้วย
แล้วเรื่องราวเหล่านั้นถูกนำเสนอผ่านองค์ประกอบใดบ้าง วันนี้ The MATTER จึงขอพาทุกคนเดินทางไปสู่รันเวย์แฟชั่นระดับโลกของ Dolce & Gabbana พร้อมย้อนเวลาสู่วันวานของกรุงโรมอันแสนยิ่งใหญ่กัน
ก่อนอื่นเราอยากพาทุกคนมารู้จักกันสักนิดว่า Alta Moda และ Alta Sartoria คืออะไรกัน แล้วมันต่างจากคอลเล็กชั่นทั่วไปของ Dolce & Gabbana ยังไงบ้าง
Alta Moda และ Alta Sartoria คือคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าชั้นสูงของ Dolce & Gabbana ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2012 ที่ผ่านมา โดย Alta Moda จะเป็นเสื้อผ้าชั้นสูงของฝั่งสุภาพสตรี ส่วน Alta Sartoria เป็นเสื้อผ้าชั้นสูงของสุภาพบุรุษ ทั้ง 2 คอลเล็กชั่นจะนำเสนอเสื้อผ้าที่เปี่ยมไปด้วยความประณีต พร้อมบอกเล่าเรื่องราวความงดงามของศิลปวัฒนธรรมแขนงต่างๆ เทียบเท่าคอลเล็กชั่น โอต์กูตูร์ (Haute Couture) ของฝรั่งเศส
คอลเล็กชั่นชั้นสูงของ Dolce & Gabbana จะนำเสนอผลงานสร้างสรรค์ ตามสถานที่อันเป็นสัญลักษณ์สำคัญของอิตาลี โดยเนรมิตเมืองต่างๆ เช่น มิลาน เวนิส และปาแลร์โม ให้กลายเป็นเวทีจัดแสดงแฟชั่นอันตระการตา ทั้งเน้นย้ำถึงฝีมือช่างท้องถิ่น และเชิดชูความเชี่ยวชาญของเหล่าช่างฝีมือชาวอิตาลี
นอกจากนี้ Dolce & Gabbana ยังมี ‘Alta Gioielleria’ คอลเล็กชั่นเครื่องประดับชั้นสูง ซึ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยมือโดยช่างฝีมือระดับสูงของ Dolce & Gabbana ผ่านการใช้เทคนิคการทำเครื่องประดับแบบดั้งเดิมที่ซับซ้อนและประณีต อันต้องใช้เวลาและทักษะอย่างมาก
Alta Moda ความรุ่งโรจน์ของอิตาลีผ่านยุคสมัย
จัดขึ้นที่ Foro Romano
Foro Romano หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ ‘Roman Forum’ ซากปรักหักพังใจกลางกรุงโรม ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางความรุ่งเรืองของวัฒนธรรมโรมันมาแต่สมัยโบราณจนถึงยุคจักรวรรดิ Foro Romano เปรียบเสมือนจัตุรัสศูนย์กลางของเมืองที่ประชาชนมารวมตัวทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเวทีกล่าวสุนทรพจน์ พื้นที่พิจารณาคดี สถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และเส้นทางสำหรับขบวนแห่ฉลองชัยชนะหลังการรบ
การเลือกใช้พื้นที่ศูนย์กลางทางอารยธรรมนี้เป็นรันเวย์สำหรับ Alta Moda 2025 จึงเป็นเหมือนการตอกย้ำให้เห็นถึงรากเหง้าของประวัติศาสตร์กรุงโรม บนพื้นที่ซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของรากฐานความเป็นอิตาลีที่ถูกส่งต่อมาจนถึงปัจจุบัน
หนึ่งในแรงบันดาลใจของชุดมาจากกลุ่มนักบวชหญิง ‘Vestal Virgins’
เอกลักษณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในสังคมโรมัน ตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงจักรวรรดิได้อย่างชัดเจน คือความเชื่อต่อเทพเจ้าของชาวโรมัน หนึ่งในนั้นคือความศรัทธาต่อไฟ อันเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอยู่ที่ดีของเมืองและประชาชน โดยใจกลางเมืองอยู่ที่วิหารของเวสตา ซึ่งมีไฟศักดิ์สิทธิ์ของเทพีเวสตาลุกโชติช่วงอยู่ตลอดเวลา ทำให้จำเป็นต้องมีกลุ่มสตรี ผู้เป็นนักบวชหญิงพรหมจรรย์ที่เรียกตนเองว่า Vestal Virgins คอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาดูแลดวงไฟนี้ให้สุกสว่างตลอดไป
หลายชุดใน Alta Moda ปีนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องแต่งกายของกลุ่มนักบวช Vestal Virgins ด้วยเช่นกัน โดยมีการนำองค์ประกอบอย่างชุดเดรสผ้ายาวคลุมโปร่งบาง อันแฝงไว้ด้วยความงามและความลึกลับของสตรี ซึ่ง Dolce & Gabbana ต้องการใช้ความพลิ้วไหวของผืนผ้าคลุมนี้ เพื่อฟื้นคืนความรุ่งโรจน์ของจักรวรรดิโรมันขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ ศิลปะของกรุงโรม
โรมเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของศิลปะในโลกตะวันตกมาตั้งแต่สมัยโบราณ เสื้อผ้าของ Alta Moda ในคอลเล็กชั่นนี้จึงต้องการดึงเอาประวัติศาสตร์และศิลปะของกรุงโรมขึ้นมาถ่ายทอด อย่างการนำกระเบื้องโมเสก อันเป็นเป็นสัญลักษณ์ทางศิลปะสำคัญของยุคโรมันมาแสดงอยู่บนเสื้อผ้า แถมแต่ละชุดก็จะประดับประดาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์แตกต่างกันออกไปด้วย เช่น เรื่องราวของ Lupa หรือ แม่หมาป่า ผู้เลี้ยงดูโรมุลุสและแรมุส ผู้ก่อตั้งกรุงโรมตามตำนานในบันทึกของพลูทาร์ก (นักปรัชญาและนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก) หรือกระทั่งการนำน้ำพุเทรวี (Fontana di Trevi) ซึ่งเป็นตัวแทนของงานประติมากรรมแห่งยุคบาโรก มาเป็นแรงบันดาลใจในการทำเสื้อคลุม
เน้นการตัดเย็บแบบ Fatto a Mano
แน่นอนว่า คอลเล็กชั่นที่เทียบเท่าได้กับโอต์กูตูร์ของฝรั่งเศส ก็ย่อมต้องสร้างสรรค์ด้วยความพิถีพิถันและความละเอียดลออขั้นสุด ชุดในคอลเล็กชั่นนี้จึงเน้นการตัดเย็บแบบ ‘Fatto a Mano’ ซึ่งเป็นเทคนิคหัตถศิลป์ดั้งเดิมของช่างฝีมืออิตาเลียน เช่น เสื้อแจ็กเก็ต ที่ช่างจะถักทอเส้นไหมอย่างประณีตบรรจงด้วยมือ พร้อมเพิ่มมิติและรูปทรงของชุด เพื่อขับเน้นสรีระของสตรีให้โดดเด่นและสง่างามมากที่สุด
นำเสนอกลิ่นอายยุคทองแห่งภาพยนตร์
ในช่วงทศวรรษ 1950s ถือเป็นยุคทองสำคัญแห่งวงการภาพยนตร์ของอิตาลี โดยเสื้อผ้าในคอลเล็กชั่นนี้หลายชิ้น ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากโลกภาพยนตร์และเหล่าดีว่าผู้โด่งดังจาก ‘Cinecittà’ อันเป็นสตูดิโอภาพยนตร์ขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงโรม แถมยังได้รับการยกย่องให้เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมภาพยนตร์อิตาลี และเป็นหนึ่งในสตูดิโอภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอีกด้วย
Alta Sartoria จุดบรรจบของประวัติศาสตร์และแฟชั่น
จัดขึ้นที่ Castel Sant'Angelo
แฟชั่นโชว์ของ Alta Sartoria ในปี 2025 จัดขึ้นที่ ‘Castel Sant'Angelo’ อันเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของกรุงโรมมาตั้งแต่อดีต โดยวิหารแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิฮาดริอานุส (Hadrianus) แห่งจักรวรรดิโรมัน ราว ค.ศ. 134-139 เพื่อใช้เป็นสุสานของพระองค์และพระราชวงศ์ ต่อมาในยุคที่ศาสนจักรเริ่มมีบทบาทชัดเจนมากขึ้น ก็ได้เปลี่ยนหน้าที่เป็นป้อมปราการทางการทหารในช่วงศตวรรษที่ 5 ส่วนในปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งสำคัญของโรมไปเป็นที่เรียบร้อย
ด้วยเหตุนี้ การเลือกใช้สถานที่อย่าง Castel Sant'Angelo มาเป็นรันเวย์ของ Alta Sartoria จึงเป็นเหมือนการเน้นย้ำถึงคุณค่าและความสำคัญของประวัติศาสตร์และศาสนา ซึ่งเป็น 2 ส่วนสำคัญที่หลอมหลวมความเป็นโรมให้มีอายุยืนยาวเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ถ่ายทอดศูนย์กลางทางศาสนาของอิตาลีผ่านโชว์และเสื้อผ้า
เมื่อนึกถึงโรม ทุกคนนึกถึงอะไรกันบ้าง?
เชื่อว่าหนึ่งในคำตอบเหล่านั้น จะต้องมีนครรัฐวาติกัน ประเทศและสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อทางคริสต์ศาสนา ซึ่งภาพความเป็นศูนย์กลางทางศาสนา ก็ได้ถูกนำเสนอออกมาผ่านโชว์และเสื้อผ้าของ Alta Sartoria ด้วยเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโชว์ด้วยการเดินเรียงรายของเหล่าพระคาร์ดินัล ผู้เป็นสาวกคนสำคัญในศาสนา หรือกระทั่งเสื้อผ้าเกือบทั้งหมดในคอลเล็กชั่น ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องแบบนักบวชและเครื่องแต่งกายพิธีกรรมทางศาสนาด้วย เช่น การใช้ผ้าคลุมยาว เสื้อผ้าชายลากพื้น ผ้าคลุมไหล่ ฯลฯ
ทั้งหมดล้วนเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างโลกแฟชั่นกับโลกแห่งศรัทธา โชว์ของ Alta Sartoria ในปีนี้จึงเป็นดั่งขบวนแห่อันศักดิ์สิทธิ์ ที่ช่วยยกย่องศิลปะการตัดเย็บแบบดั้งเดิมของนักบวชอิตาลี ซึ่งมีทั้งเสน่ห์มนต์ขลัง แต่ก็ไม่ละทิ้งความเป็นแฟชั่นที่มีดีไซน์โดดเด่นเฉพาะตัวตามสไตล์ Dolce & Gabbana
ภาพสะท้อนผลงานมาสเตอร์พีซของศิลปินยุคเรเนซองส์และบาโรก
นอกจากเรื่องราวทางศาสนาที่ถูกถ่ายทอดผ่านคอลเล็กชั่นนี้แล้ว ยังมีอีกหลายชุดที่สะท้อนกลิ่นอายของยุคเรอเนซองส์และบาโรก ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ศิลปะ ทั้งในด้านของลวดลายและงานประติมากรรม สิ่งเหล่านี้เป็นภาพแทนของความก้าวหน้าทางวิทยาการและความงดงามทางศิลป์ในยุคนั้น โดยเฉพาะเมื่อได้มาเดินต่อหน้ารูปปั้นนางฟ้าทั้ง 10 องค์บนสะพาน ผลงานระดับมาสเตอร์พีซของโลก ที่สร้างขึ้นโดย โลเรนโซ แบร์นินี (Lorenzo Bernini) ศิลปินเอกแห่งยุคบาโรก
ชุดถูกประดับด้วยคริสตัลและอัญมณี ซึ่งเดิมทีสงวนไว้สำหรับสร้างวัตถุบูชาชั้นสูง
หลายชุดของ Alta Sartoria ในปีนี้ ได้นำคริสตัลและอัญมณีมาประดับประดาอย่างประณีต ซึ่งเดิมทีวัตถุเหล่านี้ไม่ใช่ใครก็สามารถครอบครองหรือนำมาใช้ทำเสื้อผ้าได้ เพราะมันเป็นของที่เคยถูกสงวนเอาไว้สำหรับสร้างวัตถุบูชาทางศาสนาเท่านั้น ดังนั้น การนำอัญมณีเหล่านี้มาถักทอบนเสื้อผ้า จึงอาจสะท้อนถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างโลกแฟชั่น อันเป็นตัวแทนของความเป็นมนุษย์ กับโลกศาสนา ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อและจิตวิญญาณนั่นเอง
นำเสนอเรื่องราวของนักบุญเปโตร บนสะพาน Ponte Sant’Angelo
อีกหนึ่งความเชื่อมโยงระหว่างเสื้อผ้าในคอลเล็กชั่นกับสถานที่จัดโชว์ คงหนีไม่พ้นหนึ่งในชุดของ Alta Sartoria ซึ่งได้นำเสนอเรื่องราวของนักบุญเปโตร ผู้ถือกุญแจสู่สวรรค์ และเป็นพระสันตะปาปาพระองค์แรกแห่งศาสนจักร โดยชุดดังกล่าวยังได้สอดคล้องกับส่วนหนึ่งของรันเวย์ อย่างสะพาน Ponte Sant’Angelo ที่มีรูปปั้นของนักบุญเปโตรกำลังยืนต้อนรับผู้แสวงบุญอยู่ด้วย นี่จึงนับเป็นอีกองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยตอกย้ำการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ ศิลปะ และศาสนาในโชว์ Alta Sartoria ปี 2025 นี้
ทั้งคอลเล็กชั่นและโชว์ของ Alta Moda และ Alta Sartoria ของ Dolce & Gabbana ในปีนี้ สามารถนำเสนอภาพของประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ตลอดจนความเป็นนิรันดร์ของกรุงโรม ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับจิตวิญญาณของนครแห่งนี้ไม่เคยหลับใหลไปเลยแม้แต่วินาทีเดียว
อ้างอิงจาก
Graphic Designer: Sutanya Phattanasitubon
Editorial Staff: Taksaporn Koohakan