เตรียมแจ้งข้อหาสีกา ก. เพิ่ม ฐานรีดทรัพย์-ทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสียเสรีภาพ

ตำรวจสอบสวนกลาง โดยกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และกองบังคับการปราบปราม พร้อมด้วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. , เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. และเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ง. แถลงข่าวภายหลังเปิดปฏิบัติการนารีพิฆาตพระ จับกุม‘สีกา ก.’ หรือ น.ส.วิลาวัลย์ เอมสวัสดิ์ อายุ 35 ปี ตามหมายจับของศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบกลาง ฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ม.147, ร่วมกันฟอกเงิน สมคบกันฟอกเงิน และรับของโจร ภายในบ้านพัก จ.นนทบุรี ได้เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา

โดย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ระบุว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก จึงได้สั่งการให้ดำเนินการกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นวงการสงฆ์ หรือใครที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ กระทำความผิดหรือทุจริตอย่างไรก็ตาม โดยให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา

ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เริ่มให้ทำการขยายผลเรื่องนี้ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา หลังพบลักษณะการกรรโชกทรัพย์ จากนั้นเราจึงได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ร่วมกันทำการสืบสวน ควบคู่กับการจัดการปัญหาที่ทำให้ปัญหามันอาจจะบานปลาย โดยเฉพาะวินัยสงฆ์ อันเนื่องมาจากภาพที่ปรากฏบนโซเชียล ทำให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันศาสนา พร้อมยืนยันว่า “เราทำงานอย่างมืออาชีพ ไม่ได้เลือกหรือแบ่งนิกาย ทุกอย่างเราทำด้วยเหตุผล ตามข้อกฎหมายและพยานหลักฐานทั้งหมด”

หลังจากนั้นเมื่อเรารวบรวมพยานหลักฐานมาได้ 1 สัปดาห์แล้ว ก็เริ่มเห็นภาพว่า ก่อนขอเข้าไปพบทิดอาชว์ อดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพฯ ที่วัด แต่ปรากฏว่าไม่เจอตัว มาทราบภายหลังว่าอดีตเจ้าอาวาสยินยอมเข้าพบสำนักพุทธฯ ก่อนหนีหายไป สปป.ลาว ก่อนข้ามกลับมาสึกที่ จ.หนองคาย

โดยจากการสืบสวนขยายผลเราก็มองว่าผู้หญิงที่ทำการกรรโชกทรัพย์ จากการตรวจสอบแล้วเบื้องต้นเขาเรียกรับทรัพย์สินจากทิดอาชว์ หลังมีความสัมพันธ์กันตั้งแต่เดือนพฤษภาคม เมื่อปี 2567 ก่อนจะห่างกันไป แต่ปรากฏว่าผู้หญิงกลับอ้างว่ามีลูก ขอค่าเลี้ยงดู 7,200,000 บาท ทิดอาชว์จึงตีตัวออกห่าง ซึ่งเราก็มาทราบอีกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ปกติ

เราจึงได้ทำการสืบขยายผลเส้นทางการเงินต่อ ก่อนพบว่ามีเส้นทางการเงินเกี่ยวข้องกับพระหลายวัดมากมาย จึงได้เข้าตรวจค้นบ้านของผู้หญิงคนนี้ ทราบชื่อคือ น.ส.วิลาวัลย์ หรือ สีกา ก. เพื่อตรวจยึดเครื่องมือสื่อสาร ทั้งโทรศัพท์, โน้ตบุ๊ก และเอกสารต่างๆ ก่อนทำการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง จนดูดข้อมูลออกมาได้สำเร็จ ว่ามีพระเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมาก พบภาพและคลิปอีกจำนวนมาก ซึ่งเขาทำเพื่อกรรโชกทรัพย์หรือแบล็กเมล สิ่งที่เราต้องดำเนินการ ก็คือผู้หญิงคนนี้เป็นบุคคลอันตราย ที่เราต้องจับกุมให้ได้โดยเร็ว จนเราได้เร่งรัดที่สุดจนมาถึงวันนี้ที่มีการจับกุมสีกา ก.ได้

ส่วนพระที่สึกกันไปจำนวนมาก ท่านเองก็รู้ตัวว่าทำผิดวินัยสงฆ์ โดยเรายืนยันว่า “พวกเราไม่ได้มีเจตนาที่จะมาทำลายสถาบันพุทธศาสนาของเรา แต่ถ้าเราไม่ยับยั้ง กระบวนการนี้มันจะยิ่งก่อความเสียหายแก่สถาบันพุทธศาสนา วันนี้มันเป็นจุดเริ่มต้นที่รัฐบาล รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมาเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ที่กระทำความผิด หรือผิดวินัย หรือผิดทางอาญา จะไม่มีข้อยกเว้น เราจะสืบสวนพระทั่วประเทศ ซึ่งจะมีการนัดประชุมในวันที่ 17 กรกฎาคมนี้ เวลา 13.00 น. เพื่อเอาข้อมูลที่มี โดยเฉพาะจากสำนักพุทธฯ ที่เคยสอบสวนไว้ เอามาเปิดกางข้อมูล เพื่อตรวจสอบทั้งหมด”

รวมไปถึงหลังจากที่เราเปิดศูนย์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา พร้อมเปิดช่องทางรับแจ้งเบาะแสพระนอกแถวจากประชาชน ซึ่งเราก็จะดำเนินการอย่างเอาจริงเอาจัง และตำรวจสอบสวนกลาง ก็อาจจะเป็นหน้างานในเรื่องนี้ โดยเราเชื่อว่าแรงกระเพื่อมจากปฏิบัติการครั้งนี้ มันจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พระอะไรที่ไม่ดี หากใครมีข้อมูลให้ส่งมูล เราพร้อมปิดเป็นความลับ

ด้าน พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการปราบปรามการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ บอกว่า ในส่วนของ บก.ปปป. ที่ร่วมทำงานกับทีมหลังจากที่เราตรวจสอบวัดตรีทศเทพวรวิหาร เราได้ทราบข้อเท็จจริงพบว่าสีกา ก.มีข้อมูลเป็นผู้ก่อเหตุในพื้นที่ภาคเหนือ ใน จ.พิจิตร เราจึงมาเชื่อมโยงข้อมูลกันและพบว่าสีกา ก. มีแผนประทุษกรรมแบบดั้งเดิม ทำให้เราต้องหันกลับมาดูข้อมูลทางการเงิน และทำให้เราเห็นว่ามีพระจำนวนมากมีการโอนเงินให้กับสีกา ก. เราเริ่มแกะข้อมูลมา จนในที่สุดได้มีการเข้าไปค้นบ้านสีกา ก. โดยเหตุของการเข้าค้นมาจากการพบว่าสีกา ก. รับเงินส่วนหนึ่งมาจากวัดตรีทศเทพฯ โดยส่วนหนึ่งเราได้รับความร่วมมือจากสีกา ก.ตามที่ปรากฏเป็นข่าว และเราเห็นว่ามีพระจำนวนมากที่เข้ามาเกี่ยวข้อง

โดยแยกกลุ่มพระออกเป็น 3 กลุ่มคือ
1. กลุ่มที่สีกายอมรับว่ามีการร่วมประเวณีและเสพเมถุนด้วยกัน มี 9 รูป สึกแล้วเกือบทั้งหมด เหลือ 1 รูป คือ เจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก โดยแต่ละรูปมีเส้นทางการเงินตั้งแต่หลักพันถึงหลักล้าน
2. เป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์ในลักษณะเชิงชู้สาว ที่ไม่สมควรอย่างยิ่งในทางพระวินัยถือว่าเป็นการผิดวินัยร้ายแรง และกลุ่มที่ มี 3 รูป อยู่ระหว่างดำเนินการ
3.เป็นกลุ่มที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมไม่สมควร อยู่ระหว่างการคัดกรอง โดยหลังจากคัดกรองแล้วจะนำเข้าสู่ศูนย์บำรุงพระศาสนาเพื่อช่วยกันคัดแยกต่อไป

ซึ่งเราได้มีการลำดับความสำคัญทั้งหมด 3 กลุ่มโดยกลุ่มแรกที่จะเอาเข้าสู่กระบวนการสอบสวน คือกลุ่มที่มีเส้นทางการเงินและเสพเมถุน หลังจากนั้นเราก็เริ่มสอบสวนพระนำข้อมูลให้พระดูในบางเรื่องที่สามารถดูได้ โดยเมื่อพระก็เห็นพยานหลักฐานต่างๆ ก็สมัครใจลาสิกขาตามที่เป็นข่าวไป

โดยสีกา ก.มีเงินหมุนเวียน 385 ล้านในรอบ 3 ปี ถอนออกไปเกือบหมดเหลือ 8,000 โดยมีการนำไปเล่นพนันออนไลน์ ซึ่งเป็นส่วนของไซเบอร์กำลังดำเนินการ โดยเบื้องต้นพบว่าสีกา ก.นำเงินไปเล่นพนันสูงสุดถึง 500,000 บาท จนสุดท้ายวันนี้เราได้นำพยานหลักฐานเท่าที่ปรากฏเห็นชัดคือ วัดชูจิตฯ ซึ่งข้อเท็จจริงเกิดจากวัดชูจิตฯ ที่เมื่อวานที่พระเจ้าอาวาสนำเงินของวัดเข้าบัญชีตัวเอง และโอนให้กับสีกา ก.ไปจำนวนหนึ่ง และมูลเหตุข้อเท็จจริงทำให้เราสามารถขอหมายศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง และจับกุมได้ในช่วงบ่าย

โดยทั้งหมดมี 3 ข้อหา ก็คือสนับสนุนเจ้าพนักงาน เบียดบังทรัพย์ หรือยักยอกทรัพย์ เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ร่วมกันสมคบฟอกเงินหรือรับของโจร โดย 3 ข้อหานี้เป็นส่วนของ บก.ปปป.

ส่วนอีกหนึ่งหมายจับของ บก.ป. ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการควบคุม และสอบสวนส่วนรายละเอียดข้อหาที่มีความผิดกับ บก.ป. ได้สรุปรายละเอียด

ด้าน นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. กล่าวว่า พระสงฆ์เป็นที่พึ่งทางจิตใจของประชาชนมาอย่างยาวนาน แต่การที่มีพระบางรูปประพฤติผิด ไม่ควรทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา สิ่งสำคัญในเวลานี้คือการชำระสะสางปัญหาที่เกิดขึ้น และเป็นโอกาสอันเหมาะสมในการทบทวน ปรับปรุง และพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดูแลศาสนาและสังคมได้อย่างยั่งยืน การศึกษาความผิดพลาด เพื่อนำมาแก้ไขในปัจจุบันและวางแนวทางในอนาคต เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้อีก ยอมรับว่าการกระทำผิดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง เพราะศาสนาเป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญของประเทศ และการกระทำของบุคคลบางกลุ่มได้สร้างความสะเทือนต่อความมั่นคงทางศรัทธา

ทั้งนี้ ป.ป.ท. ได้รับคำสั่งจาก นายภูมิธรรม เวชยชัยรองนายกรัฐมนตรีให้เข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยยืนยันว่าความผิดที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของคนเพียงบางกลุ่มหรือปัจเจกบุคคล ไม่ควรให้ความผิดเพียงเล็กน้อยนี้มาบดบังความดีงามที่พระสงฆ์ได้สั่งสมกันมานับร้อยนับพันปี จึงขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันในการฟื้นฟูและเรียกศรัทธากลับคืนสู่พระพุทธศาสนา เพื่อให้สังคมไทยอยู่ร่วมกันอย่างสงบและมั่นคงต่อไป

นายภูมิวิศาล ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณีที่เกิดขึ้น เชื่อว่ายังมีผู้เสียหายเพิ่มเติมที่ตกเป็นเหยื่อของ “สีกา ก.” และอยากเชิญชวนผู้ที่คิดว่าตนเองอาจเกี่ยวข้องหรือได้รับผลกระทบจากการกระทำของสีกา ก. ให้เข้ามาให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเดินทางมาที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือประสานผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง ป.ป.ท. ยังไม่เชื่อว่าจะมีผู้เสียหายเพียงเท่าที่ปรากฏในปัจจุบัน และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะยังมีอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้ออกมาแสดงตัว จึงขอให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบเข้ามาให้ข้อมูล เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความรวดเร็ว โปร่งใส และเป็นธรรมที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือการให้ความจริงได้ปรากฏอย่างครบถ้วน และเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายทุกคนได้รับความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม

ส่วน พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการ ป.ป.ท. กล่าวว่า ทางด้านหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา และมีการสืบสวนมาตลอด จนทำให้เห็นปรากฏภาพของอดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพลาสิกขา จากนั้นก็ปรากฏชื่อของ น.ส.วิลาวัลย์ หรือ สีกา ก. เข้ามาอยู่ในหน้าสื่อ จากนั้นในวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา เราได้เชิญสีกา ก. ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องร้องเรียน และการลาสิกขาของเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพฯ อย่างมีเงื่อนงำ

โดยในตอนนี้ มีพระที่เชื่อมโยง กรณีของอดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพฯ ลาสิกขาไปแล้วทั้งหมด 9 รูป จาก 13 รูป ที่มีเส้นเงินเกี่ยวพันและมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสพเมถุน ซึ่งวันที่เรารับข้อมูลมาตั้งแต่วันแรก มีประวัติของสีกา ก. น้อยมาก ในวันที่ 27 มิถุนายน เราก็ไม่พบอดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพฯ เลย ซึ่งเราอยากได้ข้อมูลจากท่านมาก แต่ปฏิบัติการนี้สำเร็จขึ้นมาได้ เพราะวันที่ 4 มิถุนายน ที่ทาง ปปป. ได้ใช้หมายค้น ไปค้นบ้านสีกา ก. และเอาตัวเข้ามาพบกับตำรวจจนได้

ตั้งแต่ที่เราได้ตัวสีกา ก.มา มีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง และเปิดชื่อพระที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเส้นทางการเงินหรือเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวจากนั้นก็มีการลาสิกขาซึ่งคำถามที่เราได้รับมากขึ้นคือทำไมไม่ทำอะไรกับสีกา ก.เลย ทำไมถึงปล่อยให้ผู้หญิงคนนึงมาทำลายพระพุทธศาสนายังอยู่ได้ ซึ่งอยากจะขอชี้แจงว่ามันคือการวางแผนที่เราจะทำคดีนี้ให้หมดจดที่สุด และทำให้โปร่งใส เราจะกวาดล้างกระบวนการลักษณะนี้ให้มากที่สุด ดังนั้นการเข้ามาของกองปราบเป็นสิ่งที่เราวางแผนไว้ตั้งแต่ต้น

พ.ต.ท.สิริพงษ์ ยังย้ำว่า สิ่งที่ยากที่สุดคือการหาข้อหาที่เหมาะสม โดยทางกองปราบได้เข้ามาจากข้อมูลเดิมเรื่องอดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตรที่มีการสึก และมีข้อมูลใหม่เพิ่มขึ้นมากมายที่เข้ามาให้ข้อมูลเรื่องความสัมพันธ์ จากนั้นจึงนำมาสู่หมายจับ

ด้าน พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการกองปราบปราม ระบุว่า ส่วนของกองบังคับการปราบปราม รับผิดชอบคดีที่เกี่ยวข้องกับ สีกา ก. 2 เรื่อง คือ เรื่องแรก 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายสมศักดิ์ สะมะโม อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.พิจิตร มาร้องทุกข์ดำเนินคดีกับสีกา ก. ข้อหาฉ้อโกง

โดยเหตุการณ์เริ่มตั้งแต่ ปี 2561 อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.พิจิตร มีเรื่องราวร้องเรียน เกี่ยวกับเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร เสพเมถุนกับสีกา ก. และการประพฤติมิชอบเรื่องเงินตั้งแต่ปี 2559 แล้วเรื่องยังไม่มีการดำเนินการให้เรียบร้อย ทางอดีต ผอ.สำนักพุทธ จ.พิจิตร ก็ได้ทำหนังสือขอตรวจสอบไปยังเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร แต่ปรากฏว่าเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร ได้ทำหนังสือร้องเรียนกลับไปจน นายสมศักดิ์ ถูกย้ายไปที่อื่น จนเกษียณอายุราชการปี 2564

จากนั้น อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ จ.พิจิตร ก็มีการสืบสวนต่อปี และในปี 2565 เรื่องเกี่ยวข้องกับการเสพเมถุนประพฤติมิชอบ และการทุจริตเรื่องเงิน เพราะสำนักงานพุทธฯ ยังไม่ได้ดำเนินการ และพยายามจะหาข้อมูลจากสีกา ก. จนได้เบอร์สีกา ก.มา และสีกา ก. ยืนยันว่ามีข้อมูลมีหลักฐาน มีคลิป ที่เกี่ยวพันกันจริงกับเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร แต่ตอนนั้นสีกา ก.ไม่ยอมให้หลักฐาน

จนปี 2566 สีกา ก. ก็ติดต่อกลับไปยัง นายสมศักดิ์ อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.พิจิตร คนนี้ แล้วอ้างว่าป่วยหนัก ต้องผ่าตัด และขอยืมเงิน 400,000 บาทมาใช้ แต่ในแช็ตไลน์มีการพูดคุยกันในลักษณะ ถ้าไม่ให้เงินก็ไม่ให้ข้อมูล ซึ่ง นายสมศักดิ์ ก็อยากได้ข้อมูลที่จะเอามาดำเนินการ และเห็นว่าเป็นข้อมูลสำคัญจึงโอนเงินให้ 400,000 บาท แต่วันรุ่งขึ้นสีกา ก. ก็ทักไลน์มาขออีก 50,000 บาท โดยอ้างว่าเงินไม่พอ เพราะถูกบัตรเครดิตตัดไป ทำให้ไม่พอจ่ายค่าผ่าตัด แต่อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ ไม่ได้ให้เงินไป แล้วสีกา ก. ก็หายไป จนมาทราบภายหลังว่า สีกา ก. ไม่ได้ผ่าตัดจริงและไม่ได้มีข้อมูลที่จะให้จริง จึงถือเป็นเรื่องของการฉ้อโกง

ส่วนอีกเรื่องคือวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทิดแหล่ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธร มาร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับสีกา ก. ฐานรีดเอาทรัพย์ และทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ โดยพฤติการณ์ คือ สีกา ก. พยายามจะเข้าหาเจ้าอาวาสวัดโสธร ผ่านทางผู้ช่วยเจ้าอาวาส จนติดต่อพูดคุยกันทางไลน์ และมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวได้ระยะหนึ่ง ก็ทักมาขอเงิน 15,000บาท อ้างว่าจะเอาไปมัดจำเซรามิกที่นำเข้าจากต่างประเทศ และเมื่ออดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสไม่มีให้ สีกา ก. ก็ข่มขู่อ้างว่า จะเปิดเผยเรื่องที่มีการเสพเมถุนกัน จะทำให้เสียหายถูกจับสึกและลงโทษทางวินัย ทำให้จำเป็นที่ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสต้องโอนไปให้ 8,000 บาท มีหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องการเงินชัดเจน และยังพบพฤติการณ์ ที่บังคับให้ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธร ทำหนังสือร้องเรียนเจ้าคุณอาชว์ด้วย จึงถือเป็นการข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใดไม่กระทำการใด กระทบต่อเสรีภาพ

ทำให้พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ได้รวบรวมพยานหลักฐาน จนขอศาลอาญา ออกหมายจับสีกา ก. ฐานรีดเอาทรัพย์ และทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ โดยหลังจากนี้ พนักงานสอบสวน บก.ป. จะแจ้งข้อกล่าวหา และสอบสวนดำเนินคดีและนำส่งศาลไปตามขั้นตอน ทั้งนี้ขอประชาสัมพันธ์ด้วยว่า หากมีผู้ถูกหลอกลวงจากสีกา ก.ก็สามารถที่จะมาร้องที่กองบังคับการปราบปรามได้.