‘คนชายแดน’ ชี้รั้วกั้นชายแดนแยก 2 ชาติได้ แต่กั้น ความผูกพัน วิถีวัฒนธรรมของมนุษย์ไม่ได้
'คนชายแดน' ค้านกั้นรั้วชายแดน ชี้ทั้งรัฐไทย กัมพูชา ไม่ได้มีความรอบรู้เรื่องการบริหารเมืองท่า เมืองหน้าด่าน ทำลายวิถีวัฒนธรรมเมืองชายแดนจนหมดสิ้น ยันรั้วกั้นแยกชาติ 2 ชาติได้ แต่กั้น ความเชื่อมโยง ความผูกพัน วิถีวัฒนธรรมของมนุษย์ ที่รักใคร่ไปมาหาสู่กันไม่ได้
20 ส.ค.2568 - นายอัฎธิชัย ศิริเทศ เกษตรกร และผู้ประกอบการแปรรูปการเกษตร บ้านอำปึล ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทตาควายประมาณ 4 - 5 กิโลเมตร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ ไม่มีพรมแดนที่ชายแดน มีเนื้่อหาดังนี้
…..
ประเด็นนี้อาจจะไม่เหมาะนัก ในสถานการณ์แบบนี้ แต่ ถ้าละเลย ไม่พูดก็เหมือนว่า เราคลั่งชาติจนลืมธรรมชาติของมนุษย์ ว่ามนุษย์ ไม่ได้แบ่งกันเด็ดขาด ตรงพื้นที่ “เส้นแบ่ง” ซึ่ง สงครามที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพราะมีความพยายามจะแบ่ง หรือ ขีดเส้น แยกมนุษย์ ด้วย ด้วยคำว่า ชาติ หรือ ด้วยคำว่า ศาสนา
คนบางจำพวก อยู่แบบเอก หรือ หนึ่งเดียว ทางวัฒนธรรม โดยไม่ปะปนได้ ก็เพราะด้วยสภาพของพื้นที่ แต่คนบางกลุ่มอยู่แบบผสมกลมกลืน ยอมรับ และ ข้ามผ่าน “เส้นเขตแดน” ปะปนอยู่ด้วยกัน เป็นรูปแบบชองการ ปรับตัวตามสภาพวิถีชีวิต อาทิ เมืองหน้าด่าน เมืองค้าขายชายแดน เมืองท่าเรือ เมืองปากแม่น้ำ ที่ต้อนรับคนหลากหลายมากมาย ร้อยพ่อพันแม่ มาอยู่ร่วมกัน หลายๆ เมือง ทั่วโลก ไม่ได้มีปัญหา กลับใช้ความหลากหลาย ความผสมกลมกลืน จนเกิดกฎเกณฑ์ เกิดวัฒนธรรมเฉพาะ กลายเป็นรากฐานทางสังคม เกิด กติกา ระเบียบ จารีต ประเพณี กลายเป็นเสน่ห์ เป็นเอกลักษณ์ โดดเด่นของเมือง ของประเทศ
ธรรมชาติมนุษย์ไม่ได้แยกกันออกว่าใครเป็นใครด้วยเส้นแบ่งพรมแดน แต่แยกกันออกด้วยกลุ่ม ภาษา ประเพณี ชาติพันธุ์ ไปดูเมืองแม่สาย แม่สอด เกาะสอง-ระนอง หรือแม้แต่ อรัญประเทศ ตั้งแต่อดีต
ตั้งแต่เกิดเหตุ ปะทะ กันมา สังคม ทั้งไทยและกัมพูชา พยายามแยกกัน ด้วยเชื้อชาติ 2 กลุ่ม นี่เซียม นั่นกัมพูชา จนลืมไปว่า ในนั้น มันมี “เขมร” ที่หมายถึง ภาษา วัฒนธรรม คล้ายกัน ทั้ง 2 ชาติ แต่แบ่งแยกกัน ที่พื้นที่ดำรงอยู่ การยก “เขมร” ขึ้นมาก่นด่า ประนาม เหยียดหยาม เสียดเย้ย ทำลายรูปลักษณ์ทางวัฒนธรรมให้ หม่นหมอง และ น่ารังเกียจ หลายคนถึงเกลียดรากเหง้า กำพืดตัวเอง โดยการปฏิเสธ ว่า ฉันไม่ใช่ เขมรสุรินทร์ ฉันคือ ไทยสุรินทร์ แอบคิดตามแล้วก็น่าขบขัน กระแสคลั่งชาติ ทำให้เราเกลียดตัวเอง และเหยียดหยามรากเหง้าตัวเอง แล้วหรือ นี่ ?
สภาพการณ์ตอนนี้ เรามีแต่คนคลั่งชาติ “ไทย” แบบภาคกลาง เป็นผู้นำชี้นำกระแสวาทกรรม “ชาติ” กดและปกปิด ความแตกต่าง ความมีตัวตนทางวัฒนธรรม ภาษา และ วิถี ไม่ต้องพูดถึง ว่า วัฒนธรรมจริงๆ นั้นไม่มีพรมแดน ผู้คนตัวเล็กๆ ในพื้นที่ ยังมีญาติ มีพี่น้อง มีเพื่อน ยังแอบสืบสาว สายโยงถึงญาติ และ มีชีวิตไปมาหาสู่ค้าขาย แลกเปลี่ยน ซึ่ง นี่คือธรรมชาติของวิถีมนุษย์
มนุษย์โลกปัจจุบันเข้าใจ และ ยอมรับกติกาของแต่ละประเทศว่า ต้องมีสังกัดรัฐ ที่มีอาณาเขต พรมแดน ซึ่งพึ่งสมมติขึ้นจริงจัง ได้ 100 ปี หรือไม่เกิน 200 ปี แต่ชีวิตมนุษย์ จริงๆ แต่โบราณ ไม่มีพรมแดน ทุกอย่างไหลบ่าไปมา ตามวิถีชีวิต ทั้ง ศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี ค่านิยม แฟชั่น ความศรัทธา ฯลฯ เหล่านี้ไหลบ่า เผยแผ่ ไปได้ทั่ว ทุกที่ที่มีมนุษย์ เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะเมืองชายแดน
ปัญหาสำคัญ คือ รัฐ ทั้งไทย กัมพูชา ไม่ได้ทำให้ชัด ไม่ได้มีความรอบรู้ ในเรื่องการบริหารเมืองท่า เมืองหน้าด่าน หรือ พื้นที่ชายแดน รัฐ ใช้วิธีเดียวคือ กด กับ ปิดกั้น เอามาทหารมาคุม เอากฎหมายความมั่นคงมาใช้ มาจับตา จับแยก ปลูกฝังความเป็นชาตินิยมไทย (ภาคกลาง) มาขีดแบ่ง อย่างปราศจาก ความเข้าใจ ในวิถีชีวิตและอารยธรรม เมืองชายแดน ในอดีต อย่างสุรินทร์ จึงเจริญเติบโต เป็นเมืองการค้าการขายไม่ได้ พนมดงรัก เคยเป็นเส้นทางสายไหม หมายถึง เส้นทางการค้า การแลกเปลี่ยน ศิลปะ วัฒนธรรม เกิดความร่มเย็น เจริญรุ่งเรือง เกิดปราสาทมากมาย ตามแนวเส้นทาง ปราสาท หรือ ที่พักริมทาง ที่พระเจ้าชัยวรมันสร้างไว้ เป็นสัญลักษณ์เชื่อมโยงของมิตรภาพการพึ่งพาการค้า ระหว่าง 2 นครใหญ่ นั่นคือ สิ่งที่ผู้ปกครองนคร สมัยโบราณ เข้าใจ มองเห็น และตระหนัก แต่ผู้ปกครองประเทศในโลกปัจจุบันละเลย ต่างฝ่ายต่างยื้อแย่ง “นี่ของกูๆๆ…” ทำลายวิถีวัฒนธรรมเมืองชายแดนจนหมดสิ้น
น่ากังวล ที่ความเป็น รัฐชาติ ครอบงำจิตใจเราจนมองข้าม ไม่อาจเล็งเห็นคุณค่าของความหลากหลายในวิถีวัฒนธรรมไปหมดแล้ว โลกวันนี้ จึงต้องการเส้นพรมแดนที่ชัดเจน เพื่อแบ่งแยกเขตรัฐ แต่ความเชื่อมโยงวิถีวัฒนธรรม ไม่มีขีดเส้นขั้นได้ คนที่นี่ พึ่งได้พบญาติ ที่ห่างหายกันไปเกือบ 40 หรือ 50 ปี ตั้งแต่กัมพูชาเกิดสงคราม พึ่ง 2-3 ปี นี้เอง ที่ได้พบกันได้ไถ่ถาม เธอลูกใคร ปู่ย่าตาทวดพ่อแม่ชื่ออะไร บ้านอยู่ตรงไหน หลายคนพึ่งหากันเจอ และพึ่งได้ข้ามมาพบกัน ยังไม่ถึง 10 ปีด้วยซ้ำ วันนี้ ถูกตัดขาดหมด
รั้ว ที่ใครๆ อยากให้มี อยากทำ อยากสร้าง เพื่อเส้นแบ่งเขตแดนที่ชัดเจน รั้วทำขึ้นได้ กั้นแยก ชาติ 2 ชาติได้ แต่รั้ว กั้น ความเชื่อมโยง ความผูกพัน วิถีวัฒนธรรม ของคนชายแดน ของมนุษย์ที่รักใคร่ไปมาหาสู่กันไม่ได้ ไม่เคยมีชาติใดบนโลกใบนี้ สร้างพรมแดนทางวัฒนธรรมได้
อย่าให้ความคลั่งชาติปิดหูปิดตาปิดหัวใจเรา มากเกินไป เราคือคนชายแดน วิถีวัฒนธรรมเราเป็นแบบนี้ ….