[Vision Exclusive] PTG ชูกาแฟพันธุ์ไทย หุ้นเด่นโอกาสเติบโต

หุ้นวิชั่น - PTG เร่งเดินหน้าสร้างการเติบโตจากธุรกิจ Non-Oil ชู “กาแฟพันธุ์ไทย” ที่โตแรงเฉลี่ยปีละ 30–40%และศูนย์บริการรถยนต์ Autobacs เป็นหัวหอกสำคัญ ขณะที่สัดส่วนกำไรจาก Non-Oil ทะลุ 35% ตอกย้ำกลยุทธ์ปั้น Ecosystem ครบวงจร สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โบรกมองเป็นหุ้น Growth Stock ที่น่าจับตาในกลุ่มพลังงาน คาดการณ์กำไรของ PTG อยู่ที่ 1,200–1,300 ล้านบาท ราคาเป้าหมาย 8 บาท

นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า PTG มีธุรกิจทั้ง Oil และ Non-Oil โดยธุรกิจ Oil มีสาขามากกว่า 2,200 แห่ง ขณะที่ธุรกิจ Non-Oil ครอบคลุมกว่า 7 ธุรกิจ อาทิ Food & Beverage, Convenience Store, พลังงานทดแทน, แพลตฟอร์มดิจิทัล, ศูนย์บริการรถยนต์ และธุรกิจระบบสนับสนุนสาขา

ในส่วนธุรกิจ Non-Oil ที่เห็นการขยายตัวชัดเจน ได้แก่ กาแฟพันธุ์ไทย และ ศูนย์บริการรถยนต์ Autobacs โดยบริษัทพยายามสร้างระบบสมาชิก เพื่อยกระดับสู่การเป็นสถานีบริการครบวงจร รองรับการใช้ชีวิตประจำวันของลูกค้า และพัฒนาเป็น Ecosystem ของ PTG สำหรับโครงสร้างรายได้ ปัจจุบันธุรกิจ Oil ยังคงเป็นสัดส่วนหลักมากกว่า 90% ขณะที่ Non-Oil อยู่ราว 10% อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในแง่กำไร ธุรกิจ Non-Oil เติบโตต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีสัดส่วนเกินกว่า 35% และมีอัตรากำไรที่สูงกว่า จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่บริษัทมุ่งขยายธุรกิจไปในทิศทาง Non-Oil มากขึ้น

สำหรับกลยุทธ์การเติบโต Non-Oil อยู่ในช่วงการสร้างเครือข่ายให้เข้าถึงได้สะดวก โดย ร้านกาแฟพันธุ์ไทย เติบโตเฉลี่ยปีละ 30–40% ต่อเนื่องตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีการขยายสาขาเฉลี่ย 1.7 แห่งต่อวัน โดยพันธุ์ไทยสร้างความโดดเด่นทั้งในด้านการเข้าถึงง่าย และการนำสินค้าเชื่อมโยงกับพื้นที่ เช่น กาแฟตาลโตนด เพื่อสร้างความแตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ และกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ด้านธุรกิจ Oil ยังมีการลงทุนขยายสาขา แต่เน้นการปรับปรุงสาขาเดิมให้มีคุณภาพและรองรับไลฟ์สไตล์ลูกค้ามากขึ้น โดยปีนี้มีแผนเปิดสถานีบริการใหม่ 50–60 สาขา และปรับปรุงอีก 100 สาขา ส่วนร้านกาแฟพันธุ์ไทย ตั้งเป้าขยายสาขาแตะ 800 สาขา ในอนาคต

ในส่วนของการนำบริษัทย่อยเข้าตลาดทุน บริษัท แอตลาส เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ ATLAS ซึ่งดำเนินธุรกิจด้าน LPG ได้รับการอนุมัติจาก ก.ล.ต. แล้ว คาดว่าจะเสนอขาย IPO ในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่ธุรกิจ กาแฟพันธุ์ไทย อยู่ระหว่างปรับโครงสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2570 ก่อนนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป พร้อมกันนี้ บริษัทย่อยในธุรกิจอื่น ๆ ก็กำลังบริหารจัดการให้เดินไปในทิศทางที่ดีเช่นกัน

ทั้งนี้ ในระยะ 3–5 ปีข้างหน้า PTG ยังเป็นบริษัทด้านพลังงาน แต่จะขยายไปสู่พลังงานที่หลากหลายมากขึ้น จาก พลังงานฟอสซิลสู่ EV โดยมีการเตรียมสถานีชาร์จ EV ที่ใช้พื้นที่ขนาดเล็กลง รวมถึงการลงทุนด้าน พลังงานทดแทน เช่น B100 และ โรงไฟฟ้าขยะ เพื่อสอดคล้องกับทิศทางโลกและกระแสด้านสิ่งแวดล้อม

ด้าน นายอดิศักดิ์ พรหมบุญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมสถานีบริการน้ำมันถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีลักษณะกึ่งผูกขาด ล่าสุด บางจาก เข้าซื้อกิจการ ESSO ส่งผลให้สามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้ โดยปัจจุบัน PTT ครองส่วนแบ่งตลาดราว 40% บางจาก ราว 30% และ PT ประมาณ 20%

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจปั๊มน้ำมันยังคงมีการแข่งขันสูง แม้ผู้เล่นในตลาดจะมีไม่มากนัก โดยแรงกดดันหลักมาจากภาครัฐที่ให้ความสำคัญกับการควบคุมราคาน้ำมัน โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีที่มีหลายส่วน ส่งผลให้ค่าการตลาดที่สถานีบริการได้รับไม่สูงนัก ปัจจุบันอยู่ที่ราว 2 บาทต่อลิตร

สำหรับการเติบโตของกลุ่มธุรกิจนี้ ที่ผ่านมาเติบโตต่อเนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะยังขยายตัวต่อ แต่จะเน้นการปรับปรุงสาขาเดิมมากกว่าการเปิดสาขาใหม่ ด้านการขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เริ่มเห็นการปรับตัว โดยมีการติดตั้งสถานีชาร์จรถ EV แล้วในบางพื้นที่

สำหรับหุ้น PTG ฝ่ายวิจัยมองว่าเป็นหุ้นในกลุ่ม Growth Stock แม้ว่าปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจ Oil จะค่อนข้างลำบาก แต่ในส่วนของ Non-Oil สามารถเติบโตได้ดีกว่า และมีมาร์จิ้นที่สูง ขณะที่ปีนี้คาดการณ์กำไรของ PTG อยู่ที่ 1,200–1,300 ล้านบาท เริ่มฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า และถือเป็นหุ้นที่น่าสนใจในกลุ่ม เมื่อเทียบกับ OR และ BCP ซึ่งมีจุดเด่นแตกต่างกัน โดย PTG มองเป็น หุ้นเติบโต (Growth Stock), OR มองเป็น หุ้น Defensive, ส่วน BCP โดดเด่นเรื่องการลงทุนด้านพลังงานสะอาด โดยเฉพาะธุรกิจ SAF ทั้งนี้ PTG ยังมีการขยายสาขาที่ทำได้ดี โดยให้ราคาเป้าหมายราว 8 บาท

รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว Hoonvision