2 ฉากทัศน์ คดีคลิปเสียงแพทองธาร ‘ภาคเอกชน’ จับตาแรงกระเพื่อมเศรษฐกิจ
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้การต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อคดีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรี และฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เมื่อวันที่ 21 ส.ค.2568 โดยหลังจากนี้ทีมกฎหมายของ น.ส.แพทองธาร จะรวบรวมหลักฐานและข้อเท็จจริงในทุกประเด็น เพื่อจัดทำเป็นคำแถลงปิดคดี
ทั้งนี้ ทีมกฎหมายของนายกรัฐมนตรีจะดำเนินการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 25 ส.ค.2568 ตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งให้ทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้อง ยื่นคำแถลงปิดคดี โดยทีมกฎหมายได้ดำเนินการตามแนวทางการพิจารณาคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญ
คดีดังกล่าวถูกจับตาเป็นอย่างมากจากทั้งนักการเมือง ข้าราชการ ภาคเอกชนและประชาชน โดยเฉพาะการนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 29 ส.ค.2568 ที่ทำให้หลายฝ่ายต้องประเมินสถานการณ์การเมืองที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง
ช่วงที่ผ่านมามีกระแสข่าวว่า น.ส.แพทองธาร จะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะมีผลให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ในขณะที่ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ออกมายืนยันแล้วหลายครั้งว่า น.ส.แพทองธาร ไม่มีการยื่นลาออก โดยทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และขออย่าขยายความเพื่อไม่ให้สังคมเกิดความสับสน
ในขณะที่อีกคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองได้ข้อสรุปเมื่อศาลอาญาพิพากษา พิพากษายกฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จากการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกาหลีใต้ เมื่อปี 2558
ทั้งนี้ ศาลอาญา เผยแพร่เหตุผลที่ยกฟ้องว่าพยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า คำให้สัมภาษณ์ของจำเลยเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ จำเลยจึงไม่มีความผิดในข้อหานี้
ในขณะที่นายทักษิณ ยังมีอีกคดีที่ต้องรอติดตาม คือ คดีชั้น 14 ซึ่งภายหลังไต่สวนพยานปากสุดท้ายเสร็จสิ้นศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำสั่งคดีในวันที่ 9 ก.ย.2568 โดยมีคำสั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และนายทักษิณ จำเลยเข้าฟังคำสั่งศาลในวันที่ 9 ก.ย.2568
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารแห่งอนาคต กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองในขณะนี้คงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะคดีคำสัญของนายกรัฐมนตรีที่สามารถมองได้ 2 แนวทาง ประกอบด้วย
ฉากทัศน์ที่ 1 กรณีนายกรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่งต่อ แนวทางนี้จะทำให้ความทางเสี่ยงการเมืองลดลงชั่วคราว โดยจะทำให้ตลาดทุนและสินทรัพย์ไทยมีแรงหนุนต่อ ในขณะที่สถานการณ์ค่าเงินบาท รวมถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) น่าจะฟื้นตัวระยะสั้น
ในขณะที่การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลมีความต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงมาตรการท่องเที่ยวและมาตรการเอสเอ็มอี ซึ่งจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 มีโอกาสแตะใกล้กรอบบนที่ประมาณ 2.3%
อย่างไรก็ดี ข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง ได้แก่หนี้ครัวเรือนสูงและผลกระทบจากภาษีสหรัฐยังคงกดดันศักยภาพเติบโต และยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องของการเจรจาลงไปในรายละเอียดของภาษีสหรัฐ
ฉากทัศน์ที่ 2 กรณีนายกรัฐมนตรีพ้นตำแหน่งจะทำให้ ครม.พ้นไปทั้งคณะ ซึ่งจะทำให้เกิดช่องว่างนโยบายชั่วคราว รวมทั้งกระทบการเบิกจ่ายงบและโครงการลงทุนรัฐชะลอตัว ในขณะที่ตลาดเงินตลาดทุนทุนเกิดความผันผวนมากขึ้น กรณีนี้จะกระทบต่อความเชื่อมั่นธุรกิจ ซึ่งทำให้ภาคเอกชนคงต้องจับตาสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิดต่อไป
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศย่อมมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักธุรกิจไทยและนักธุรกิจต่างประเทศ โดยเป็นช่วงที่นักธุรกิจรอดูสถานการณ์ว่าการเมืองไทยในระยะใกล้นี้จะเป็นอย่างไร
สถานการณ์ดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อโครงการที่อยู่ระหว่างรอการอนุมัติของบริษัทที่มีแผนจะลงทุนในไทย รวมถึงบริษัทที่เตรียมการก่อสร้าง โดยสิ่งที่บริษัทดังกล่าวทำได้ คือ การชะลอโครงการออกไป ซึ่งบางบริษัทอาจจะชะลอโครงการออกไปอย่างไม่มีกำหนด
"หากสถานการณ์ภายในประเทศยังไม่นิ่งหรือมีปัญหาเสถียรภาพของรัฐบาล เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งจัดการ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสจากการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยสถานการณ์นี้ต้องอาศัยการเมืองที่เข้มแข็ง มีเอกภาพ และสร้างความเชื่อมั่น"
ดังนั้น ภาคเอกชนยังคงคาดหวังให้การเมืองไทยมีเสถียรภาพและเข้มแข็ง เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ